นายพงษ์พันธ์ หงษ์ทอง กรรมการผู้จัดการบริษัท คฑาทอง ทรานสปอร์ท จำกัด เปิดเผยว่าในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา คณะผู้บริหารบริษัทฯ ได้เร่งศึกษาแผนการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และเตรียมแผนการปรับองค์กรและระบบการเงินให้สอดคล้องกับหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งขณะนี้ทีมงานตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้อำนวยความสะดวกด้านข้อมูลและข้อปฏิบัติและรายละเอียดในการนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียน
"เดิมทีเราตั้งเป้าว่าในปีนี้เราน่าจะสามารถเอาหุ้นของเราเข้าซื้อขายบนกระดานได้ แต่พอมาศึกษากระบวนการนำบริษัทฯ เข้าตลาดฯ เราได้รับทราบถึงหลักเกณฑ์ต่าง ๆ ทำให้เราหันกลับมาศึกษาตัวเราก่อน และเตรียมความพร้อมที่จะแต่งตัวให้พร้อมเพื่อยื่นเข้าไปให้ตลาดฯ พิจารณา" นายพงษ์พันธ์ กล่าว
นายพงษ์พันธ์ กล่าวว่าการเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้นถือเป็นก้าวสำคัญของบริษัทฯ เพราะบริษัทฯ มีเป้าหมายที่จะสร้างความชัดเจนให้กับธุรกิจบริการรถรับส่งพนักงานว่าเป็นธุรกิจที่ดำเนินการโดยมืออาชีพ "เราอยากจะให้สังคมได้รับรู้ว่าไม่ใช่ทุกบริษัทที่อยู่ในธุรกิจนี้ต้องเป็นบริษัทสีเทา เราอยู่ในธุรกิจนี้อย่างขาวสะอาดมาตลอด ตรวจสอบได้ ดังนั้นการให้สังคมยอมรับความโปร่งใสของเราอย่างไม่มีข้อสงสัยก็คือกระบวนการตรวจสอบได้ การเข้าไปอยู่บนกระดานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ย่อมเป็นเครื่องพิสูจน์ถึงความโปร่งใส ตรวจสอบได้ อีกทั้งยังทำให้ลูกค้าที่เราให้บริการอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นพนักงานของเรา พนักงานของลูกค้าเรา และคู่ค้าของเรา ยอมรับเราและสามารถตรวจสอบเราได้ตลอดเวลา"
บริษัท คฑาทอง ทรานสปอร์ท จำกัด ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2542 ด้วยทุนจดทะเบียน 1 ล้านบาท และมีรถตู้รับส่งพนักงานเพียง 2 คัน และสามารถดำเนินธุรกิจเจริญเติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนถึงปัจจุบันได้เพิ่มทุนจดทะเบียนเป็น 20ล้านบาท มีรถให้บริการรวมทั้งสิ้นเกือบ 500 คัน โดยแบ่งเป็นรถบัสประมาณ 200 คัน รถตู้ประมาณ 240 คัน และรถเช่าสำหรับผู้บริหารอีก 30 คัน
นายพงษ์พันธ์ กล่าวว่าผลประกอบการในปีนี้ รายได้ต่ำกว่าเป้าหมายที่กำหนดไว้คืออัตราเติบโตที่ 30% ทั้งนี้เนื่องจากภาวะโรคระบาด COVID19 ทำให้รายได้เท่ากับปีที่แล้ว อย่างไรก็ตามในวิกฤตินี้ บริษัทฯ ไม่มีการลดพนักงานเพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการที่ดีอย่างสม่ำเสมอแก่ลูกค้า ทำให้ลูกค้าปัจจุบันที่มีอยู่ 60 ราย มีความประทับใจในบริการ และเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทอื่นที่ไม่ใช่ลูกค้าของบริษัทฯ ให้ความสนใจที่จะใช้บริการของบริษัทฯ อีกประมาณ 20 ราย
อย่างไรก็ตาม เมื่อเปรียบเทียบกับผู้ประกอบการที่อยู่ในธุรกิจเดียวกัน คฑาทอง ถือว่าได้รับผลกระทบจาก COVID-19 น้อยมากเพราะส่วนใหญ่รายได้จะหดตัวไปตั้งแต่ 50% - 100% ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่ทำให้บริษัทอื่นที่ยังไม่ได้เป็นลูกค้าของบริษัทฯ หันมาให้ความสนใจใช้บริการจาก คฑาทอง
"ดังนั้นปีหน้าเราจึงมั่นใจว่าเราจะเติบโตอีกไม่ต่ำกว่า 40% แน่นอนเพราะเราจะได้ลูกค้าใหม่เพิ่ม แต่เราจะระมัดระวังในการรับลูกค้าเพิ่มเพื่อรักษาคุณภาพการให้บริการของลูกค้าเราให้ได้มาตรฐานสูงเหมือนลูกค้าทุกรายในปัจจุบัน" นายพงษ์พันธ์ กล่าว
เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต นายพงษ์พันธ์ กล่าวว่าบริษัทฯ มีแผนจะสั่งซื้อรถบัสเพิ่มอีก 30 คันและรถตู้ 30 คันในปีหน้า โดยบริษัทฯ มีนโยบายชัดเจนในการเลือกซื้อรถที่มีคุณภาพสูงสุด ซึ่งในส่วนของรถบัส บริษัทฯ มีแผนที่จะเปลี่ยนฝูงรถบัสให้เป็นรถวอลโว่ บัส ทั้งหมดภายใน 3 ปี จากปัจจุบันที่เป็นรถวอลโว่ บัส 50 คันจาก 200 คัน ดังนั้นการสั่งซื้อรถบัสในปีหน้าจะเป็นการสั่งซื้อรถวอลโว่ บัส ทั้งสิ้น
"สาเหตุที่เราเน้นวอลโว่ บัส เพราะหลายปีที่ผ่านมา เราได้พูดคุยกับทีมงานฝ่ายขายของวอลโว่ บัส ประเทศไทยให้ประสานงานกับทีมโรงงานประกอบตัวถังที่ประเทศมาเลเซีย ถึงการปรับปรุงคุณภาพตัวแชสซีส์ และตัวถัง รวมไปถึงการตกแต่งภายในของวอลโว่ บัส อย่างต่อเนื่อง ทำให้เราได้รถที่ดีที่สุดเท่าที่เราเคยมี ทั้งในรูปของความแข็งแรงคงทน ผ่านมาตรฐานการผลิกคว่ำ UN ECE R66 ที่เป็นผู้ประกอบการรายแรกที่นำมาใช้จริงในประเทศไทย เพื่อความปลอดภัยและความสะดวกสบายของผู้ใช้รถของเรา โดยเราได้สั่งซื้อรถประกอบสำเร็จรูปวอลโว่ บัส จากประเทศมาเลเซียในปี 62 จำนวน 12 คัน และปีนี้อีก 12 คัน" นายพงษ์พันธ์ กล่าว
นายพงษ์พันธ์ กล่าวว่านอกจากตัวรถที่มีคุณภาพสูงตามความต้องการของบริษัทฯ แล้ว วอลโว่ บัส ประเทศไทย ยังมีบริการ Service Contract Gold Package เพื่อรับประกันการบำรุงรักษาระหว่างการใช้งานที่บริษัทฯ สามารถกำหนดต้นทุนได้ชัดเจนตลอดอายุการใช้งาน ทำให้การเสนอราคาแก่ลูกค้ามีความแม่นยำและคงที่ สามารถบริหารต้นทุนได้เป็นอย่างดี สามารถแข่งขันกับผู้เล่นอื่นในตลาดได้ ซึ่งเป็นประเด็นที่สำคัญที่ทำให้ลูกค้ายอมรับการให้บริการของ คฑาทอง ในช่วงวิกฤติ COVID-19 ว่าเป็นผู้ให้บริการที่ดีในราคาที่ไม่มีการปรับเพิ่มเติม แม้จะอยู่ในช่วงวิกฤติ
นายพงษ์พันธ์ กล่าวเพิ่มเติมว่าบริษัทฯ มีเป้าหมายจะปรับสัดส่วนการใช้รถตู้กับรถบัสจากปัจจุบันรถตู้ให้บริการประมาณ 60% ของฝูงรถ ในขณะที่รถบัสประมาณ 40% ซึ่งจากการดำเนินธุรกิจให้ได้เต็มประสิทธิภาพ บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าหมายว่าภายใน 3 ปี จะปรับสัดส่วนการใช้รถบัสให้เพิ่มขึ้นเป็น 60% และลดสัดส่วนของตู้ลงเหลือ 40% ทั้งนี้เพราะการใช้รถบัสให้บริการรับส่งพนักงาน จะมีความประหยัด ปลอดภัยและควบคุมค่าใช้จ่ายได้แม่นยำกว่ารถตู้ ซึ่งถือเป็นประโยชน์ของลูกค้าโดยตรง
"ข้อสำคัญและเป็นสิ่งที่ถูกมองข้ามไปก็คือการสร้างความยุติธรรมและความมีระเบียบวินัยของบรรดาพนักงานโรงงานและพนักงานบริษัทผู้ใช้บริการเพราะการใช้รถบัส จะไม่มีการรับส่งถึงหน้าบ้าน แต่จะมีเส้นทางวิ่งที่แน่นอน ชัดเจนและมีตารางวิ่งคงที่แม่นยำ โดยพนักงานทุกคนได้รับการปฏิบัติเหมือนกันหมด" นายพงษ์พันธ์ กล่าว