คุณวราภรณ์ พรพิทักษ์โยธิน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจพี ประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทประกันภัยในเครือเจมาร์ท เปิดเผยว่า นับเป็นความท้าทายของธุรกิจประกันภัยในปี 2563 ที่ต้องเผชิญกับสถานการณ์โควิด-19 ที่ส่งผลกระทบในวงกว้าง อีกทั้ง ภาพรวมเศรษฐกิจที่ชะลอตัว แต่ด้วยกลยุทธ์ การขยายพอร์ตประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ (Non-motor) ในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นในปีนี้ โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2563 มีการเติบโตราว 80% ขณะที่ ประกันภัยประเภทรถยนต์ลดลงราว 30% จากช่วง 11 เดือนแรกของปีก่อน สนับสนุนให้เบี้ยประกันภัยมีการเติบโตขึ้นและมีคุณภาพ ประกอบกับ การตอบรับอย่างท่วมท้นของผลิตภัณฑ์ประกันภัยไวรัสโควิด-19 ในการนำเสนอช่องทางการขายของบริษัทในเครือเจมาร์ท มองว่าการลดต้นทุนด้วยการปรับพอร์ตที่มีอัตราส่วนความเสียหาย (Loss ratio) และเพิ่มสินค้ากลุ่ม Non-motor ที่อัตรากำไรดีกว่าเพิ่มขึ้นเป็นอีกปัจจัยเสริมความสามารถในการทำกำไรที่โดดเด่นขึ้น โดยในช่วง 11 เดือนแรกของปี 2563 นี้ กำไรโตเกือบ 87% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีเบี้ยประกันภัยรับสะสม อยู่ที่ 327.34 ล้านบาท โดยในปีหน้าตั้งเป้าเบี้ยประกันภัยรับรวมจะเติบโต 15% ต่อปี และคาดจะสามารถพลิกทำกำไรในปี 2564
ทั้งนี้ ภาพรวมประกันภัยรถยนต์ และประกันภัยที่ไม่ใช่รถยนต์ในงวด 11 เดือนแรกปี 63 มีสัดส่วน 63% : 37% พร้อมกางแผนจัดพอร์ตใน 3 ปีข้างหน้า ตั้งเป้าอยู่ในสัดส่วน 50% : 50% และเตรียมพร้อมรับโอกาสให้ธุรกิจในยุคดิสรัปชั่น นำเสนอประกันผ่านแพลตฟอร์ม JP Connect ตอบสนองความต้องการของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการขายแบบ B2B หรือ B2B2C และอำนวยความสะดวกให้ลูกค้าสำหรับด้านบริการหลังการขาย โดยนำระบบเทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน โดยมี JP Smart Insure ซึ่งเป็น Line Bot ที่จะมาคอยตอบคำถามด้านบริการให้กับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามอู่ หรือโรงพยาบาล, การสอบถามผลิตภัณฑ์, รายการส่งเสริมการขาย รวมไปถึงการสอบถามกรมธรรม์ที่ได้ทำประกันภัยไว้กับบริษัทอีกด้วย สอดรับนโยบายของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. ที่มีการพัฒนานวัตกรรมประกันภัยให้มีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้นในรูปแบบการลงทุนอินชัวร์เทค
อย่างไรก็ดี เจพี ประกันภัย มุ่งเน้นในการพัฒนาแพลตฟอร์มมาอย่างต่อเนื่อง โดยนโยบายและความร่วมมือของกลุ่มเจมาร์ท ในการผลักดันธุรกิจโดยใช้เทคโนโลยีเข้ามาสนับสนุน ทำให้ เจพี ประกันภัยจะสามารถทรานซ์ฟอร์มสู่ผู้นำอินชัวร์เทคได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคต และพร้อมให้บริการด้านประกันภัยอย่างมืออาชีพ ด้วยฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ปัจจุบันมีสินทรัพย์รวมที่ 664 ล้านบาท โดยมีกลุ่มเจมาร์ทเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ โดย บริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ถือหุ้น 55% สร้างศักยภาพทางการเงินที่มั่นคงในอนาคต
พร้อมชูกลยุทธ์ จากการ Synergy ในกลุ่มเจมาร์ท วางนโยบายการขยายงาน และขยายช่องทางขายและการประชาสัมพันธ์ภายในกลุ่มเจมาร์ทเพิ่มเติม ได้แก่ ผ่านช่องทาง Jaymart Mobile , JMT Network services และ Singer Thailand ให้เติบโตเพิ่มขึ้น ควบคู่การรักษาช่องทางการขายของโบรคเกอร์ และคัดเลือกโบรคเกอร์หรือนายหน้าส่วนบุคคลที่มีศักยภาพในการขยายงาน เพื่อทำการตลาดร่วมกันในปี 2564
"จากเทรนด์ของผู้บริโภคในปัจจุบัน เราจึงปรับผลิตภัณฑ์จากเดิมที่เรามีสัดส่วนการขายประกันภัยรถยนต์ในสัดส่วน 70% หันมามุ่งเน้นในการเพิ่มรายได้จากการขายประกันที่ไม่ใช่รถยนต์ โดยเฉพาะประกันที่เกี่ยวกับสุขภาพ ได้แก่ ประกันโรคจากยุง ประกันที่เกี่ยวกับโรคระบบทางเดินหายใจและปอด รวมถึงเพิ่มแพ็คเกจผลิตภัณฑ์ที่สามารถซื้อได้ทั้งครอบครัว เช่น ประกันอุบัติเหตุ ทำให้ภาพรวมพอร์ตในมือมีความหลากหลาย และเป็นพอร์ตที่มีประสิทธิภาพ สำหรับข้อมูลจากสมาคมประกันวินาศภัย ณ สิ้นงวดไตรมาส 3/2563 เบี้ยประกันภัยรับสะสมมีจำนวนราว 186.97 แสนล้านบาท เติบโตจากงวดเดียวกันของปีก่อน 3.99% โดยประกันสุขภาพ เติบโตขึ้นที่ 13.76% และประกันอุบัติเหตุโตขึ้น 0.29%" คุณวราภรณ์ กล่าวทิ้งท้าย