กรุงเทพฯ--11 พ.ค.--โกลบอล คอนเน็คชั่นส์
ผู้บริหาร GC พอใจ กำไร Q1/49 เพิ่มขึ้นกว่า 14% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เหตุยอดขายเติบโต และฐานรายได้เพิ่ม คาดQ2/49 ดีต่อเนื่อง พร้อมมั่นใจปีนี้รายได้โต 12-15% แตะ 3,600 ลบ. จากนโยบายเชิงรุกเพิ่มการขายในสินค้าเกรดพิเศษ ที่มีอัตรากำไรที่ดี พร้อมประเมินทิศทางราคาปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลัง มีแนวโน้มทรงตัว ถึงลดลง แต่ส่งผลบวกต่อบริษัท เหตุทำให้ใช้เงินทุนหมุนเวียนลดลง ขณะที่เงินบาทแข็งค่า ทำให้ต้นทุนทางการเงินลดลงด้วย
นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ จำกัด (มหาชน) หรือ GC เปิดเผยถึงผลประกอบการไตรมาส1/49 ว่า บริษัทมีรายได้รวม 965.12 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.84% เมื่อเทียบกับไตรมาส1/48ที่มีรายได้ 812.10 ล้านบาท และรายได้จากการขายไตรมาส1/49 เท่ากับ 960.64 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.81% เมื่อเทียบกับไตรมาส 1/48ที่มีรายได้ 808.55 ล้านบาท ส่วนกำไรสุทธิ เท่ากับ 16.42 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 14.83% เมื่อเทียบกับไตรมาส1/48ที่มีกำไรสุทธิ 14.30 ล้านบาท
ทั้งนี้ผลประกอบการบริษัทโดยรวมที่เติบโตเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทมีฐานรายได้ที่เพิ่มขึ้น ซึ่งส่วนใหญ่มาจากการเพิ่มขึ้นของยอดขายในกลุ่มสินค้า Commodity และกลุ่ม Specialty ซึ่งมีการขายสินค้าประเภทใหม่เพิ่มขึ้นในส่วนของ Butyle Rubber และEPDM
นอกจากนี้ในช่วงไตรมาส1 ที่ผ่านมา บริษัทมีลูกค้ารายใหม่เพิ่มมากขึ้น โดยทั้งหมดเป็นลูกค้าในประเทศ ในขณะเดียวกันก็มีแผนที่จะลดจำนวนลูกค้าที่ไม่มีคุณภาพลง เพื่อจัดการและควบคุมความเสี่ยงให้ดีขึ้น และ ปัจจุบันบริษัทมีนโยบายที่จะรักษาฐานลูกค้าให้มีคุณภาพดีที่สุด ที่สามารถสร้างกำไรได้ ซึ่งนโยบายดังกล่าว คาดว่าจะส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัทโดยรวม เนื่องจากมีเวลาที่เพิ่มขึ้นในการดูแลและให้บริการลูกค้าที่มีคุณภาพได้มากขึ้น
"สำหรับรายได้ไตรมาส 2/49มีแนวโน้มปรับเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากบริษัทมีการเพิ่มประเภทสินค้ามากขึ้นและต่อเนื่อง ทั้งนี้แม้ราคาน้ำมันจะปรับเพิ่มขึ้น แต่ทางฝ่ายบริหารของบริษัทได้ดูแลอย่าง
ใกล้ชิด ตลอดจนพิจารณาหาแนวทางในการลดค่าใช้จ่าย และความเสี่ยงอย่างสม่ำเสมอ อาทิ เช่น การใช้พลังงาน NGV ทดแทนการใช้น้ำมัน ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาผลดี และผลเสีย และค่าใช้จ่ายในการเปลี่ยนแทนระบบ ส่วนภาวะเงินบาทที่แข็งค่าขึ้น ยังส่งผลในเชิงบวกกับธุรกิจบริษัทโดยรวมเช่นกัน โดยทำให้ต้นทุนทางการเงินของบริษัทลดลง" นายสมชายกล่าว
ส่วนภาวะอัตราดอกเบี้ยที่ปรับเพิ่มขึ้นนั้น บริษัทฯไม่ได้รับผลกระทบมากนัก เนื่องจากบริษัทได้รับเงินจากการขายหุ้นเพิ่มทุน IPO ปลายปีที่แล้วมา 100 ล้านบาท บวกกับการถอนเงินสดที่เป็นหลักทรัพย์ค้ำประกันมูลค่า 129.2 ล้านบาทจากสถาบันการเงินที่เป็นเจ้าหนี้ทุกแห่ง รวมเป็นเงินทุนหมุนเวียนใหม่ที่ปลอดดอกเบี้ย 229.2 ล้านบาท ซึ่งมีส่วนช่วยลดภาระดอกเบี้ยให้บริษัทได้มากในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้น
และยังกล่าวต่อถึงทิศทางราคาสินค้าพลาสติก และปิโตรเคมีในช่วงครึ่งปีหลังว่า ราคามีแนวโน้มทรง และอ่อนตัวลง ซึ่งส่งผลดีต่อการดำเนินงานของบริษัท ทั้งด้านราคาวัตถุดิบ และความต้องการใช้เงินทุนหมุนเวียนของบริษัทที่ปรับลดลง และไม่เพียงแต่จะส่งผลดีกับบริษัทเท่านั้น แต่ยังส่งผลดีต่อลูกค้าของบริษัทด้วย
สำหรับแผนรุกธุรกิจในปีนี้นั้น บริษัทฯจะดำเนินนโยบายเชิงรุก โดยเฉพาะการเพิ่มการขายในสินค้าเกรดพิเศษ ซึ่งมีอัตรากำไรที่ดีกว่า ในขณะเดียวกันบริษัทยังให้ความสำคัญกับการบริหารความเสี่ยงของบริษัทอย่างใกล้ชิด ทั้งในเรื่องของการรักษาคุณภาพลูกค้า การดูแลความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน และยังมีแผนที่จะเพิ่มลูกค้าต่างประเทศในลักษณะพันธมิตรทางการค้า ในกลุ่มประเทศอาเซียน เช่นอินโดนีเซีย และเวียดนาม เป็นต้น ซึ่งอยู่ระหว่างการศึกษาโครงการดังกล่าว ทั้งนี้ Supplier บางกลุ่มก็มีความสนใจที่จะเปิดโอกาสให้บริษัทเข้าไปเปิดตลาดให้ด้วย
นายสมชาย กล่าวในตอนท้ายว่าบริษัทยังมั่นใจรายได้ปีนี้จะเติบโตได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ประมาณ 3,600 ล้านบาท ขยายตัว 12-15% จากปี 2548 ที่บริษัทฯ มียอดขายอยู่ที่ 3,250 ล้านบาท และคาดว่าในปี 2552 ยอดขายจะไต่ระดับขึ้นไปแตะที่ 5,000 ล้านบาท ได้ตามแผน และกลยุทธ์ที่ได้กำหนดไว้
ข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อ
คุณจุฬารัตน์ เจริญภักดี
โทร. 02-554-9395
หรือ 09-488-8337