งานวิจัย INDUSTRY Research มิถุนายน 2549 หัวข้อ "คุณภาพเครดิตของผู้ประกอบการธุรกิจที่อยู่อาศัยในปี 2549"

พฤหัส ๒๒ มิถุนายน ๒๐๐๖ ๑๑:๔๑
กรุงเทพฯ--22 มิ.ย.--ทริส เรทติ้ง
INDUSTRY Research มิถุนายน 2549
คุณภาพเครดิตของผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่อาศัยในปี 2549
1. ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยในปี 2549 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากภาวะเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น
ณ เดือนเมษายน 2549 ทริสเรทติ้งจัดอันดับเครดิตแก่ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยรวม 11 บริษัท โดยในจำนวนนี้ 8 บริษัทได้อนุญาตให้ทริสเรทติ้งประกาศผลอันดับเครดิตตราสารหนี้ประเภทไม่มีประกันแก่สาธารณชน และ 1 บริษัทให้ประกาศผลเฉพาะตราสารหนี้มีประกัน ในขณะที่ 2 บริษัทไม่ได้ประกาศผลอันดับเครดิตแก่สาธารณะ
อันดับเครดิตของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยกระจุกตัวอยู่ที่ระดับ BBB และ BBB+ ซึ่งสะท้อนถึงลักษณะทั่วไปของ ธุรกิจที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างสูง โดยอันดับเครดิตที่สูงสุดได้แก่ บจม. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ (อันดับเครดิตตราสารหนี้ไม่มีประกัน A/Stable) ในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2549 ทริสเรทติ้งได้ปรับอันดับเครดิตเพิ่มขึ้นสำหรับผู้ประกอบการ 2 ราย ได้แก่ บจก. พฤกษา เรียลเอสเตท (BBB+/Positive ซึ่งปรับขึ้นจาก BBB/Stable) และ บจก. ศุภาลัย (BBB+/Stable ซึ่งปรับขึ้นจาก BBB/Stable) การปรับเพิ่มขึ้นของอันดับเครดิตสะท้อนฐานะการเงินที่เข้มแข็งขึ้น รวมทั้งความสามารถของผู้ประกอบการในการรักษายอดขายไว้ได้โดยคงอัตรากำไรไว้ในระดับที่น่าพอใจ เนื่องจากบริษัททั้ง 2 รายถือเป็นผู้ประกอบการที่มีความเข้มแข็งทางด้านการควบคุมต้นทุนการก่อสร้าง ทำให้มีความได้เปรียบในการแข่งขัน ในขณะที่อันดับเครดิตของ บจก. เอ็น.ซี.เฮ้าส์ซิ่ง (BBB/Negative) เป็นการสะท้อนถึงความเสี่ยงที่อาจเพิ่มขึ้นของผู้ประกอบการจากผลกระทบของภาวะตลาดที่อยู่อาศัยที่อ่อนตัวลงในขณะที่การเข้าสู่ตลาดบ้านราคาสูงในพื้นที่เขตตอนใต้และตะวันตกของกรุงเทพมหานครยังเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดู
ความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยในปี 2549 มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากแรงกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินที่มีผลต่อต้นทุนการผลิต ในขณะที่ความต้องการที่อยู่อาศัยคาดว่าจะยังคงขยายตัวในอัตราที่ลดลงต่อไป ซึ่งทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถปรับราคาสินค้าให้เป็นไปตามภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้นได้มากนัก โดยความเสี่ยงของผู้ประกอบการขนาดเล็กซึ่งมีข้อจำกัดด้านเงินทุนจะมีมากกว่าผู้ประกอบการขนาดใหญ่ที่มีความได้เปรียบในการหาแหล่งเงินทุนมากกว่า
2. ปัจจัยกำหนดความสำเร็จของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัย
อันดับเครดิตของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยสะท้อนถึงภาวะธุรกิจที่อยู่อาศัยในประเทศไทยที่มีลักษณะค่อนข้างผันผวนแม้ว่าภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 เป็นต้นมา ธุรกิจในกลุ่มนี้จะมีทิศทางการเติบโตที่มีเสถียรภาพมากขึ้นก็ตาม แต่ลักษณะของธุรกิจที่มักเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วตามการขึ้นลงของภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะในประเทศไทยซึ่งมีระบบเศรษฐกิจที่ผันแปรมากกว่าประเทศอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ รวมทั้งการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรง ทำให้ธุรกิจที่อยู่อาศัยจัดเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงระดับปานกลางค่อนข้างสูงเมื่อเปรียบเทียบกับธุรกิจอื่นๆ
ปัจจัยที่กำหนดความสำเร็จของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยในประเทศไทยประกอบด้วย
- ผู้บริหารที่มีประสบการณ์และความสามารถ มีความเข้าใจตลาดที่อยู่อาศัยที่เกี่ยวข้องเป็นอย่างดี โดยเฉพาะความสามารถในการประมาณการความต้องการที่อยู่อาศัยได้อย่างถูกต้อง
- มีฐานข้อมูลการตลาดเพื่อติดตามตรวจสอบการเปลี่ยนแปลงของแนวโน้มสินค้าที่เป็นที่ต้องการในตลาด และสามารถปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ได้ทันท่วงที
- มีความสามารถในการจัดหาที่ดินในทำเลที่เป็นที่ต้องการในระดับราคาที่เหมาะสมกับประเภทสินค้าของตน
- มีความน่าเชื่อถือในตลาดซึ่งจะทำให้สามารถกำหนดราคาที่มีความได้เปรียบกว่าคู่แข่งได้
- มีการบริหารการก่อสร้างที่มีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความสามารถในการจัดหาวัสดุก่อสร้างด้วยต้นทุนที่ต่ำและส่งมอบสินค้าตรงตามเวลา ซึ่งเป็นปัจจัยที่สำคัญในการแข่งขัน โดยเฉพาะในตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาปานกลางถึงราคาถูก
- มีการบริหารการเงินที่ระมัดระวังด้วยการรักษาสภาพคล่องในระดับที่เหมาะสม มีการควบคุมสินค้าคงเหลือ ไม่สะสมที่ดินเปล่ามากเกินไป ไม่สร้างบ้านเผื่อขายมากจนเป็นภาระทางการเงิน และไม่ลงทุนในภาคอสังหาริมทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูงในลักษณะเก็งกำไรโดยใช้แหล่งเงินทุนส่วนใหญ่จากการกู้ยืม ซึ่งจะมีความได้เปรียบในกรณีที่เกิดการเปลี่ยนแปลงภาวะตลาดที่ไม่ได้คาดคิดมาก่อน
3. สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยปี 2548 ขยายตัวในอัตราที่ลดลง
อัตราการขยายตัวของที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จและจดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลซึ่งลดลงอย่างต่อเนื่อง จากที่เคยมีการขยายตัวถึง 50.8% ในปี 2546 เหลือ 23.1% ในปี 2547 และ 4.4% ในปี 2548 เป็นการยืนยันความเชื่อว่าตลาดที่อยู่อาศัยของประเทศไทยเริ่มเข้าสู่ภาวะชะลอตัวแม้ว่าจะยังคงมีการขยายตัวอยู่บ้าง ทั้งนี้สาเหตุสำคัญที่ทำให้ปริมาณของที่อยู่อาศัยที่สร้างใหม่เริ่มลดลงมาจากความระมัดระวังของผู้ประกอบการในการพัฒนาโครงการจัดสรรที่อยู่อาศัยใหม่ๆ โดยการลดขนาดโครงการของตนลง ตลอดจนมีการปรับกลุ่มเป้าหมายลูกค้าลงมาสู่บ้านระดับราคาปานกลางมากขึ้นซึ่งเป็นตลาดที่อยู่อาศัยที่มีขนาดใหญ่กว่า ในขณะที่ตลาดที่อยู่อาศัยระดับราคาสูงเริ่มส่งสัญญาณอิ่มตัว
ที่อยู่อาศัยสร้างเสร็จและจดทะเบียนใหม่ที่สร้างเสร็จในเขตกรุงเทพมหานคร และปริมณฑลมีจำนวนรวม 72,072 หน่วย โดยเป็นที่อยู่อาศัย (ไม่รวมอาคารชุด) ที่สร้างโดยผู้ประกอบการ (บริษัทบ้านจัดสรร) ที่จดทะเบียนใหม่ในกรุงเทพมหานครและปริมณฑลในปี 2548 มีจำนวน 35,935 หน่วย ลดลง 12% จากปี 2547 ซึ่งมีจำนวน 40,752 หน่วย แสดงถึงปริมาณที่อยู่อาศัยที่เข้าสู่ตลาดลดลงจากความระมัดระวังของผู้ประกอบการในการออกโครงการที่อยู่อาศัยใหม่หลังจากที่เริ่มเห็นการชะลอตัวของความต้องการ
“.... จำนวนบ้านระดับราคาปานกลางที่สามารถขายได้ลดลงเหลือเพียงประมาณไม่ถึง 10 หน่วยต่อเดือนต่อโครงการ และจำนวนของผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการบ้านที่เปิดตัวใหม่มีแนวโน้มลดลงด้วยเช่นกัน.....”
จากการวิเคราะห์ธุรกิจที่อยู่อาศัย ทริสเรทติ้งพบว่าผู้ประกอบการที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้มักมีระบบการติดตามตรวจสอบความต้องการที่อยู่อาศัยในแต่ละพื้นที่อย่างต่อเนื่องทั้งโดยทางตรงและทางอ้อม และในช่วงที่ผ่านมาต่างพบว่าความต้องการที่อยู่อาศัยมีการชะลอตัวลงโดยสะท้อนจากจำนวนบ้านที่จำหน่ายได้ในแต่ละช่วงเวลามีจำนวนลดลงจากเดิม เช่นในปี 2546 จำนวนบ้านระดับราคาปานกลางที่สามารถขายได้ของแต่ละโครงการมีจำนวนมากกว่า 15 หน่วยต่อเดือน ลดลงเหลือเพียงประมาณไม่ถึง 10 หน่วยต่อเดือนต่อโครงการในปี 2548 ในขณะเดียวกัน จำนวนของผู้เข้าเยี่ยมชมโครงการบ้านที่เปิดตัวใหม่ก็มีแนวโน้มลดลงด้วยเช่นกัน โดยเฉพาะโครงการที่อยู่อาศัยระดับราคาสูง ในขณะที่ที่อยู่อาศัยในระดับราคาปานกลาง (ตั้งแต่ 5 ล้านบาทต่อหน่วยลงมา) ถึงระดับราคาถูกยังคงขายได้ดีแม้ว่าจะมีการชะลอตัวลงบ้างในช่วงที่มีความผันผวนทางการเมืองที่ผ่านมา
“....การลดลงของสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปที่ปล่อยใหม่ และรายได้จากค่าธรรมเนียมที่เก็บจากการซื้อขายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ แสดงถึงตลาดที่ชะลอตัวลง....”
นอกจากนี้ ความต้องการที่อยู่อาศัยซึ่งสะท้อนจากปริมาณของสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปที่ปล่อยใหม่โดยธนาคารพาณิชย์ บริษัทเงินทุน บริษัทเครดิตฟองซิเอร์ ธนาคารอาคารสงเคราะห์ ธนาคารออมสิน บริษัทประกันชีวิต และการเคหะแห่งชาติในปี 2548 พบว่ามีอัตราลดลงเหลือเพียง 278,828 ล้านบาทในปี 2548 จาก 294,403 ล้านบาทในปี 2547 หรือลดลง 5.3% ซึ่งเป็นการลดลงที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่ปี 2547 ทั้งนี้ เหตุผลส่วนหนึ่งมาจากการขยายตัวของสินเชื่อที่อยู่อาศัยบุคคลทั่วไปที่มีการขยายตัวอย่างมากในปี 2546 ก่อนการยกเลิกมาตรการให้สิทธิพิเศษด้านภาษีอากรและการลดหย่อนค่าธรรมเนียมการโอนอสังหาริมทรัพย์เมื่อสิ้นปี 2546 ประกอบกับการชะลอตัวด้านความต้องการที่อยู่อาศัยในปีถัดมา
การลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมที่เก็บจากการซื้อขายที่ดินและอสังหาริมทรัพย์ในปี 2547 และปี 2548 ก็แสดงให้เห็นถึงการลดลงของมูลค่าการซื้อขายที่ดินในช่วงเวลาดังกล่าวด้วยเช่นกัน
4. การลดลงของความต้องการที่อยู่อาศัยราคาสูง
ในปี 2548 ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยหลายรายมีการปรับปรุงสินค้าของตนให้สามารถเข้าสู่ตลาดบ้านระดับราคาปานกลางมากขึ้นเนื่องจากตลาดบ้านระดับราคาปานกลางมีขนาดใหญ่และยังเป็นที่ต้องการอยู่มาก ตัวอย่างของผู้ประกอบการที่เดิมขายบ้านระดับราคาสูงและเริ่มเข้าสู่ตลาดบ้านราคาปานกลาง (3 ล้านบาทถึง 5 ล้านบาทต่อหลัง) มากขึ้น ได้แก่ บจม. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ บจม. ควอลิตี้เฮ้าส์ และ บจม. แสนสิริ เป็นต้น ส่วนผู้ประกอบการที่เดิมเน้นตลาดบ้านระดับราคาปานกลางและต่ำกว่าและเคยเข้าไปแข่งขันในตลาดบ้านราคาแพงในปี 2547 แต่ได้หวนกลับมาเน้นตลาดบ้านราคาปานกลางเช่นเดิมในปีนี้ ได้แก่ บจก. พฤกษา เรียลเอสเตท และ บจม. เอ็น.ซี. เฮ้าส์ซิ่ง เป็นต้น ทั้งนี้เนื่องจากความต้องการบ้านระดับราคาสูงนั้นมีแนวโน้มอิ่มตัว
5. การลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการ
ภายหลังจากการฟื้นตัวของตลาดที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 2543 เป็นต้นมา อัตรากำไรของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยมีการปรับตัวสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องตามสภาวะตลาด ในขณะที่ต้นทุนการผลิตและราคาที่ดินยังไม่ขยายตัวมากนักในช่วงแรกๆ ประกอบกับผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยบางรายได้ประโยชน์จากการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่สถาบันการเงินนำออกขายทอดตลาด
อย่างไรก็ดี อัตรากำไรจากการดำเนินงานต่อยอดขายของผู้ประกอบการเมื่อคำนวณจาก Adjusted Operating Profits มีทิศทางลดลงตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา ภายหลังจากการยกเลิกมาตรการสิทธิประโยชน์ด้านภาษีอากรและการโอนเมื่อปลายปี 2546 อัตรากำไรต่อยอดขายโดยเฉลี่ยของบริษัทอสังหาริมทรัพย์ที่จัดอันดับเครดิตกับทริสเรทติ้งในปี 2548 อยู่ที่ 20.56% ลดลงจากที่เคยอยู่ที่ระดับ 25.88% ในปี 2546 โดยบริษัทที่มีอัตรากำไรสูงที่สุดได้แก่ บจม. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ซึ่งเป็นบริษัทอสังหาริมทรัพย์รายเดียวที่สามารถรักษาอัตรากำไรได้ในระดับสูงกว่า 30% ในปี 2547 และปี 2548 ในขณะที่ผู้ประกอบการอื่นๆ (นอกจาก บจม. โนเบิล ดีเวลลอปเมนท์ และ บจม. ศุภาลัย) มีอัตรากำไรลดลง
การลดลงของอัตรากำไรของผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์โดยทั่วไปมีสาเหตุสำคัญมาจากการแข่งขันที่มีความรุนแรงขึ้น รวมทั้งการปรับโครงสร้างกลุ่มลูกค้ามาสู่ระดับปานกลางมากขึ้น ซึ่งโดยทั่วไป ตลาดที่อยู่อาศัยระดับล่างมีอัตรากำไรต่ำกว่าตลาดระดับบนเพราะลักษณะของลูกค้าบ้านระดับนี้จะมีความอ่อนไหวต่อราคามากกว่าลูกค้าบ้านระดับราคาสูง ในขณะที่ต้นทุนการก่อสร้างที่เพิ่มขึ้นมากในปี 2547 ตามราคาวัสดุก่อสร้างประเภทเหล็กและปูนซีเมนต์ยังไม่เห็นผลกระทบที่ชัดเจนเนื่องจากผู้ประกอบการหลายราย โดยเฉพาะผู้ประกอบการรายใหญ่ มีการก่อสร้างบ้านสะสมไว้แล้ว และผู้ประกอบการบางรายมีการทำสัญญาจัดหาแหล่งวัสดุก่อสร้างที่คงราคาเดิมได้ รวมทั้งสามารถนำวัสดุก่อสร้างที่อยู่ในสินค้าคงคลังที่มีอยู่มาใช้ซึ่งช่วยลดผลกระทบจากภาวะต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ในขณะที่ราคาเหล็กและปูนซีเมนต์ได้ปรับตัวลดลงในปี 2548
6. โครงสร้างเงินทุนและสภาพคล่องของผู้ประกอบการเข้มแข็งขึ้น
ภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 ซึ่งกระทบต่อผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อย่างมากทำให้ผู้ประกอบการในปัจจุบันมีความระมัดระวังในการจัดโครงสร้างเงินทุนของตนเองโดยการจำกัดภาระหนี้ไม่ให้สูงเกินไปเช่นในอดีต แม้ว่าธุรกิจประเภทนี้นับว่าเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนของหนี้ต่อทุนโดยเฉลี่ยค่อนข้างสูงก็ตาม
6.1 อัตราส่วนเงินกู้ต่อโครงสร้างเงินทุน (Debt to Capitalization) ของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยที่จัดอันดับเครดิตกับทริสเรทติ้งลดลงอย่างต่อเนื่องภายหลังจากปี 2540 โดยลดลงจากระดับเฉลี่ยที่ 70.5% ในปี 2540 เหลือ 42.8% ในปี 2548 ทั้งนี้ สัดส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนที่ลดลงของผู้ประกอบการส่วนมากเนื่องมาจากความระมัดระวังของผู้ประกอบการในการรักษาสัดส่วนของหนี้ให้อยู่ในระดับที่สามารถควบคุมได้ ในขณะที่ผู้ให้กู้ เช่น สถาบันการเงิน ก็มีความระมัดระวังในการปล่อยกู้มากขึ้น
6.2 โครงสร้างเงินกู้ของผู้ประกอบการ ภายใต้สถานการณ์ที่อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน ผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยต่างพยายามจำกัดความเสี่ยงจากการผันผวนของอัตราดอกเบี้ยด้วยการกู้ยืมระยะยาวมากขึ้นทั้งในรูปการออกตราสารหนี้ระยะยาวอัตราดอกเบี้ยคงที่ รวมทั้งการกู้ยืมระยะยาวในรูปสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการจากสถาบันการเงิน โดยในปี 2548 นั้นสัดส่วนของเงินกู้ในรูปของตราสารหนี้และสินเชื่อเพื่อพัฒนาโครงการต่อหนี้สินรวมโดยเฉลี่ยเท่ากับ 80% ที่เหลือเป็นเงินกู้ระยะสั้นและตราสารหนี้ระยะสั้นประเภทตั๋วเงินและตั๋วสัญญาใช้เงิน
6.3 สภาพคล่องทางการเงิน ซึ่งทริสเรทติ้งพิจารณาจากอัตราส่วนทางการเงินของผู้ประกอบการ 2 รายการได้แก่ 1) อัตราส่วนเงินทุนจากการดำเนินงานต่อเงินกู้รวมที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted Fund from Operation to Total Debt -- FFO to Total Debt) และ 2) อัตราส่วนกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายต่อดอกเบี้ยจ่ายที่ปรับปรุงแล้ว (Adjusted EBITDA Interest Coverage Ratio) ซึ่งพบว่าผู้ประกอบการส่วนใหญ่มีสภาพคล่องทางการเงินสูงสุดในปี 2546 และมีการปรับตัวลดลง แต่ยังอยู่ในระดับน่าพอใจกว่าในอดีตก่อนปี 2545 ทั้งนี้ผู้ประกอบการที่มีการรักษาเสถียรภาพของสภาพคล่องไว้ได้ในระดับที่ดีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานได้แก่ บจม. แลนด์แอนด์เฮ้าส์ และ บจม. ลลิล พร็อพเพอร์ตี้ ในขณะที่ บจก. พฤกษา เรียลเอสเตท และ บจม. ศุภาลัย ก็มีสภาพคล่องในปัจจุบันในระดับที่แข็งแกร่ง
7. ปัจจัยที่อาจกระทบต่อความเสี่ยงด้านเครดิตของผู้ประกอบการที่อยู่อาศัยในปี 2549
7.1 ระดับความรุนแรงของการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ย ทริสเรทติ้งพบว่าการเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในช่วงที่ผ่านมายังไม่ส่งผลอย่างชัดเจนต่อความต้องการซื้อบ้านมากนักเนื่องจากระดับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่ลดลงอย่างมากภายหลังจากวิกฤตเศรษฐกิจในปี 2540 โดยอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สำหรับลูกค้าชั้นดีอยู่ในระดับต่ำกว่า 10% ต่อเนื่องเป็นเวลานานกว่า 7 ปีตั้งแต่ปี 2542 จนถึงปัจจุบัน จากที่เคยอยู่ที่ระดับสูงสุดที่ระดับมากกว่า 15% ในปี 2540 อัตราดอกเบี้ยที่อยู่ในระดับต่ำมีส่วนเป็น อย่างมากในการเพิ่มความสามารถในการผ่อนชำระของผู้ซื้อบ้าน ตลอดจนเพิ่มความต้องการในตลาดโดยรวม และทำให้บ้านราคาสูงขายได้เพิ่มขึ้น
“.......ภาระการผ่อนชำระของลูกหนี้ซื้อบ้านเพิ่มขึ้น 6% ถึง 7% จากทุกๆ 1% ของ อัตราดอกเบี้ยเงินกู้ที่เพิ่มขึ้น ....”
“..... อัตราดอกเบี้ยที่สูงขึ้นจาก 6% เป็น 8% ทำให้ครอบครัวที่มีรายได้ 100,000 บาทต่อเดือนที่สามารถซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทได้ในอดีตต้องลดลงเหลือราคาไม่เกิน 3.7 ล้านบาท...... ”
อัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นอย่างต่อเนื่องตั้งแต่กลางปี 2548 เป็นต้นมามีผลทางด้านจิตวิทยาที่ทำให้ผู้ซื้อเกิดความไม่แน่ใจเกี่ยวกับกำลังซื้อของตนเองซึ่งทำให้ต้องระมัดระวังในการเลือกซื้อบ้านเพื่อให้แน่ใจว่าจะสามารถผ่อนส่งได้ในระยะยาว (ประมาณ 15 ถึง 30 ปี) โดยคำนึงถึงทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต ในขณะเดียวกัน การเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในระดับสูงของอัตราดอกเบี้ยเป็นการเพิ่มภาระการชำระหนี้ของผู้กู้ โดยจากการประมาณการของทริสเรทติ้งพบว่าอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นทุก 1% จะทำให้ภาระการผ่อนชำระของลูกหนี้เพิ่มขึ้น 6% ถึง 7% จากภาระการชำระเดิม ตัวอย่างเช่น ผู้ซื้อบ้านราคา 2 ล้านบาทซึ่งกู้ธนาคาร 80% ของมูลค่าบ้านที่อัตราดอกเบี้ย 6% ที่เคยผ่อนชำระเดือนละ 13,500 บาท จะมีภาระต้องผ่อนชำระเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 15,300 บาทถ้าอัตราดอกเบี้ยเงินกู้สูงขึ้นเป็น 8% และในทางกลับกัน การเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ก็มีผลให้ความสามารถในการกู้ซื้อบ้านราคาแพงลดลงด้วย เช่น ภายใต้เงื่อนไขของการผ่อนซื้อบ้านเวลา 20 ปี การเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยจาก 6% เป็น 8% จะทำให้ความสามารถในการซื้อบ้านของครอบครัวที่มีรายได้ต่อเดือน 100,000 บาทลดลงจากที่เคยสามารถผ่อนชำระเงินกู้ซื้อบ้านราคา 5 ล้านบาทได้ โดยลดเหลือเพียงบ้านราคาไม่เกิน 4 ล้านบาทเท่านั้น ทั้งนี้ เนื่องจากเงินที่ผ่อนชำระต่อเดือนสูงขึ้นตามภาวะอัตราดอกเบี้ย
7.2 ความเชื่อมั่นของผู้ซื้อบ้าน มีการปรับลดลงเมื่อพิจารณาจากจำนวนบ้านที่ขายได้ รวมทั้งการลดลงของจำนวนผู้เข้าชมโครงการ รวมทั้งระยะเวลาในการตัดสินใจซื้อบ้านที่นานขึ้นกว่าเดิมดังที่กล่าวมาแล้ว รวมทั้งเป็นอีกปัจจัยที่ทำให้มีการลดลงของความต้องการซื้อบ้าน โดยจากการรวบรวมของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคมีแนวโน้มลดลงมาตั้งแต่เดือนมกราคม 2547 เป็นต้นมา จนกระทั่งในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ดัชนีความเชื่อมั่นลดลงเหลือเพียง 82.5 ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดในรอบ 3 ปี 10 เดือน โดยมีสาเหตุสำคัญจากสถานการณ์ทางการเมือง ประกอบกับการเพิ่มสูงขึ้นของราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและอัตราดอกเบี้ย การขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2549 คาดว่าจะมีอัตราที่เท่ากันหรือลดลงกว่าปีที่แล้วเล็กน้อยเนื่องจากปัจจัยด้านการลงทุนของภาครัฐที่ชะลอตัวจากปัญหาทางการเมือง ในขณะที่ต้นทุนการผลิตและการบริโภคที่มีแนวโน้มสูงขึ้นตามภาวะเงินเฟ้อที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นมากในปีนี้จะทำให้ความต้องการบริโภคและการลงทุนของภาคเอกชนลดลง โดยคาดว่าอัตราการขยายตัวที่แท้จริงของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศในปี 2549 จะอยู่ในช่วง 3.5% ถึง 4.5%
7.3 การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตอันเนื่องมาจากราคาวัสดุก่อสร้างและราคาน้ำมันเชื้อเพลิง น่าจะส่งผลกระทบต่อตลาดที่อยู่อาศัยได้ชัดเจนขึ้นในปี 2549 ทั้งนี้ ต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการที่สำคัญประกอบด้วยต้นทุนค่าที่ดิน (ประมาณ 31% ของต้นทุนรวม) ต้นทุนค่าก่อสร้าง (53%) และต้นทุนอื่นๆ เช่น ค่าสาธารณูปโภค และต้นทุนทางการเงิน (16%) ปัจจัยจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาวัสดุก่อสร้างหลายรายการโดยเปรียบเทียบดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา (2544-2548) ดัชนีราคาวัสดุก่อสร้างรวมมีการปรับตัวเพิ่มขึ้นรวมทั้งสิ้น 19.64% โดยที่เพิ่มขึ้นมากได้แก่ เหล็กและผลิตภัณฑ์จากเหล็ก ซึ่งมีราคาเพิ่มขึ้นถึง 55.42% อันเป็นผลมาจากการเพิ่มขึ้นของราคาอย่างมากในปี 2546 และปี 2547 จากความต้องการเหล็กที่ขยายตัวในตลาดโลก แม้ว่าในปี 2548 ราคาเหล็กได้มีการปรับตัวลดลงบ้างเล็กน้อยจากความต้องการที่ชะลอตัวลง ในขณะเดียวกัน ราคาที่ดินในประเทศเริ่มมีการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นด้วยเช่นกัน ในขณะที่การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์และแนวโน้มภาวะอิ่มตัวของความต้องการในตลาดอสังหาริมทรัพย์ทำให้ผู้ประกอบการไม่สามารถผลักภาระต้นทุนการผลิตที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้ซื้อบ้านได้มากนัก การเพิ่มขึ้นของต้นทุนการผลิตดังกล่าวเป็นแรงกดดันให้ผู้ประกอบการอาจต้องปรับราคาสินค้าของตนในอนาคต ซึ่งอาจทำได้โดยตรงโดยการขึ้นราคาบ้านในโครงการใหม่ หรือปรับลดขนาดของบ้านในโครงการของตนโดยคงราคาเดิมไว้ก็ได้
7.4 การเพิ่มสูงขึ้นของต้นทุนค่าครองชีพเนื่องจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงและราคาสินค้าอุปโภคบริโภคที่เพิ่มขึ้น มีผลให้รายได้ที่แท้จริงของผู้บริโภคลดลง รวมทั้งลดระดับของรายได้ที่ใช้จ่ายได้จริง (Disposable Income)
บทสรุป
ธุรกิจบ้านที่อยู่อาศัยในประเทศไทยจัดเป็นธุรกิจที่มีความเสี่ยงด้านเครดิตในระดับปานกลาง โดยปัจจัยที่กำหนดให้อันดับเครดิตของผู้ประกอบการแต่ละรายมีความแตกต่างกันขึ้นอยู่กับความสามารถและประสบการณ์ของผู้บริหารในการปรับตัวให้เหมาะสมกับสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจและตลาดที่อยู่อาศัยของประเทศไทย รวมทั้งความสามารถในการรักษาความสามารถในการแข่งขันภายใต้สถานการณ์ตลาดที่อยู่อาศัยที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
ทริสเรทติ้งเห็นว่าโดยภาพรวมของธุรกิจที่อยู่อาศัยยังมีแนวโน้มอันดับเครดิตที่ยังไม่เปลี่ยนแปลงมากนักแม้ว่าในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาได้เกิดการเปลี่ยนแปลงของภาวะตลาดที่อยู่อาศัยหลายประการทั้งในส่วนของนโยบายภาครัฐที่มีแนวโน้มลดระดับการแทรกแซงในแง่การใช้มาตรการสนับสนุนลง ในขณะที่มีการนำนโยบายการเงินที่เข้มงวดมาใช้เพื่อสร้างวินัยทางการเงินให้แก่ระบบเศรษฐกิจ รวมทั้งการปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในตลาดเงินภายใต้แรงกดดันของภาวะเงินเฟ้อที่สูงขึ้นตามราคาน้ำมันและการผันผวนของราคาวัสดุก่อสร้างต่างๆ ซึ่งมีผลในทางอ้อมต่อต้นทุนการผลิตของผู้ประกอบการ ในขณะที่ความไม่แน่นอนทางการเมืองและการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในปี 2549 ก็เป็นปัจจัยลบต่อความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและความต้องการซื้อที่อยู่อาศัย ปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ดังกล่าวคาดว่าอาจกระทบต่อรายได้และอัตรากำไรของผู้ประกอบการโดยทั่วไปในปี 2549 แม้ว่า
ทริสเรทติ้งจะเชื่อว่าผู้ประกอบการส่วนมากจะยังคงความสามารถในการรักษาระดับโครงสร้างหนี้ต่อทุนเอาไว้ได้ในระดับที่เหมาะสมกับอันดับเครดิตที่ได้รับอยู่แล้ว และมีผู้ประกอบการเพียงบางส่วนที่ต้องระมัดระวังสภาพคล่องภายใต้ภาวะตลาดที่ชะลอตัวก็ตาม ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องจับตาดูต่อไป
อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบธุรกิจที่อยู่อาศัยส่วนมากได้แสดงให้เห็นถึงการเรียนรู้จากบทเรียนในอดีตในการระมัดระวังด้านการลงทุน และความพยายามในการบริหารโครงสร้างเงินทุนที่ไม่ก่อให้เกิดความเสี่ยงจนเกินไป ในขณะที่สถาบันการเงินต่างระมัดระวังในการปล่อยกู้โครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งทำให้เป็นที่เชื่อว่าอันดับเครดิตของผู้ประกอบการในธุรกิจนี้ส่วนมากจะสามารถคงอยู่ได้ในระยะสั้นและระยะปานกลาง

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๐ ธ.ค. ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๒๐ ธ.ค. กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๒๐ ธ.ค. Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๒๐ ธ.ค. โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๒๐ ธ.ค. ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๒๐ ธ.ค. กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๒๐ ธ.ค. WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๒๐ ธ.ค. เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๒๐ ธ.ค. ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๒๐ ธ.ค. NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ