กรุงเทพฯ--8 พ.ย.--โกลบอล คอนเน็คชั่นส์
สร้างเซอร์ไพรส์โชว์กำไร 9 เดือน 55.42 ล้านบาท แซงหน้ากำไรของปี 2548 ทั้งปีแล้ว ผู้บริหารแจงเป็นผลมาจากการเพิ่มสัดส่วนขายสินค้าเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ ทำให้ได้อัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น และการดูแลความเสี่ยงอย่างใกล้ชิดทำให้พลิกมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนได้สำเร็จจากปีก่อนที่ขาดทุน ทำให้มั่นใจสิ้นปีนี้รายได้
เติบโตตามเป้า 8-12% โดยคาดว่าจะมียอดขายประมาณ 3,600 ล้านบาท
นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บมจ. โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ (GC) เปิดเผยถึงผลประกอบการในไตรมาส 3/49 ว่ามีกำไรสุทธิ 22.86 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 14.35 ล้านบาท เป็นมูลค่าที่สูงขึ้น 8.51 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวของมูลค่ากำไรประมาณ 59% ส่วนงวด 9 เดือนของปี 2549 มีกำไรสุทธิ 55.42 ล้านบาท สูงกว่างวดเดียวกันปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 32.40 ล้านบาท
เป็นมูลค่าที่สูงขึ้น 23.02 ล้านบาท คิดเป็นการขยายตัวของมูลค่ากำไรประมาณ 71%
ทั้งนี้ ผลประกอบการงวด 9 เดือนของปี 2549 ปรากฎว่ามีกำไรสุทธิสูงกว่าปี 2548 ทั้งปี ซึ่งมีกำไรสุทธิเท่ากับ 36.52 ล้านบาท เป็นมูลค่าถึง 18.9 ล้านบาท คิดเป็นมูลค่าที่เพิ่มขึ้นประมาณ 52 % สาเหตุที่ทำให้กำไรเพิ่มขึ้น เป็นผลมาจากการปรับกลยุทธ์การขายของบริษัท ที่ได้เพิ่มสัดส่วนการขายสินค้าเม็ดพลาสติกเกรดพิเศษ ซึ่งเป็นสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงกว่า เมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าเม็ดพลาสติกในกลุ่ม Commodity โดยโครงสร้างรายได้ระหว่างสินค้า Commodity และสินค้าเกรดพิเศษในไตรมาส 3/2549 เท่ากับ 69 : 31 ในขณะที่สัดส่วนดังกล่าวในปี 2548 เท่ากับ 74:26 นอกจากนี้บริษัทยังสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้เป็นอย่างดี ทั้งความผันผวนจากอัตราแลกเปลี่ยน และความเสี่ยงในการเกิดหนี้สูญ
" กลยุทธ์สำคัญในภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว คือการดูแลความเสี่ยงในเรื่องหนี้สูญ เนื่องจากอาจมีลูกค้าบางส่วนที่อาจประสบปัญหาสภาพคล่องจากภาวะเศรษฐกิจชะลดตัวลง ซึ่งบริษัทได้มีการตั้งคณะกรรมการควบคุมสินเชื่อการค้าของลูกค้าอย่างใกล้ชิด ส่วนเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนรอบปี 2548 บริษัทขาดทุนประมาณ 11.95 ล้านบาท แต่ปีนี้จากการจัดการที่ดีทำให้พลิกกลับมาเป็นกำไร 2.46 ล้านบาท คิดเป็นกำไรเพิ่มขึ้นย้อนกลับถึงประมาณ 14.41 ล้านบาท" เขากล่าวต่อถึงประเด็นสภาวะราคาน้ำมันปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นในช่วงที่ผ่านมา นอกเหนือจากที่ได้ส่งผลกระทบต่อราคาสินค้าปิโตรเคมีของบริษัทแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ทำให้เกิดภาวะชะลอตัว ส่งผลต่อปริมาณความต้องการสินค้า (Demand) โดยรวม ในตลาดลดลงบ้าง ในขณะเดียวกันแนวโน้มความต้องการใช้พลาสติกในอุตสาหกรรมกลับเพิ่มสูงขึ้น เนื่องจากพลาสติกมีคุณสมบัติสามารถทดแทนวัตถุดิบอื่นที่มีราคาสูงได้ จึงทำให้ผู้ผลิตในอุตสาหกรรมต่างๆ มีแนวโน้มความต้องการใช้พลาสติกเป็นวัตถุดิบเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นทำให้ GC ไม่ได้รับผลกระทบมากนัก
ส่วนแนวโน้มของราคาปิโตรเคมี ความเคลื่อนไหวจะสัมพันธ์กับราคาน้ำมันในตลาดโลก แต่ในปัจจุบัน น่าจะลดต่ำลงบ้างในช่วงสั้น ก่อนที่จะปรับตัวสูงขึ้นเนื่องจากมี Demand การใช้พลังงานเพิ่มขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูหนาวในช่วงปลายปี ส่วนราคาเม็ดพลาสติกยังคงทรงตัวอยู่ในระดับสูงต่อไป อย่างไรก็ตามในส่วนของ GC ได้ดูแลความ
เสี่ยงในเรื่องของความผันผวนของราคา ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อบริษัทเมื่อภาวะราคาสินค้าลดต่ำลงอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสินค้าในกลุ่ม Commodity ทำให้อาจเกิดภาวะขาดทุนจากการขายสินค้าได้ โดยการเก็บ stock สินค้าในกลุ่มดังกล่าวไม่เกิน 1 สัปดาห์เท่านั้น
นายสมชาย กล่าวในช่วงท้ายว่า จากผลประกอบการที่ดีขึ้นมาก ทำให้บริษัทมั่นใจว่าปีนี้ GC จะมีอัตราการเติบโตได้ตามเป้าหมายได้วางไว้ 8-12% จากปีก่อน โดยคาดว่าจะยอดขายประมาณ 3,600 ล้านบาท จากปัจจัยที่สนับสนุนคือ การปรับกลยุทธ์การขายของบริษัทใหม่ที่ทำให้มี Margin สูงขึ้นจากระดับ 5% ต้นๆ ปรับขึ้นเป็นเฉลี่ยประมาณ 6% นอกจากนี้ยังจัดการบริหารความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนอย่างใกล้ชิด การลดต้นทุนดอกเบี้ยจ่าย สำหรับเงินกู้ระยะสั้น การควบคุมเรื่องหนี้สงสัยจะสูญให้อยู่ในระดับต่ำ และ GC ได้รับ สิทธิพิเศษทางภาษี จากการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ทำให้มีค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้นิติบุคคลในอัตรา 25% เป็นระยะเวลา 5 ปี นับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นไป
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :
ติดต่อ คุณณัฐพงษ์ ใจแกล้ว
โทร. 02-5549396-7 หรือ 01- 4010226