SECC แตกบริษัทรับติดตั้ง-จำหน่ายอุปกรณ์ CNG Hybrid ใช้ความเก๋าผนวกสินค้ามีคุณภาพเป็นจุดแข็งแจ้งเกิดธุรกิจใหม่

อังคาร ๑๙ ธันวาคม ๒๐๐๖ ๑๖:๑๗
กรุงเทพฯ--19 ธ.ค.--เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส
SECC สบช่องราคาน้ำมันพุ่ง ผู้บริโภคและภาครัฐหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น แตกบริษัทย่อย "ซีเอ็นจี ไฮบริด วีฮิเคิล" ลุยธุรกิจใหม่รับบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid สำหรับรถยนต์ เผยจากการสำรวจตลาดพบว่ามีความต้องการสูงแต่ไม่มีผู้ประกอบการที่มีความชำนาญและได้มาตรฐานเข้ามารองรับ คาดได้รับการตอบรับล้นหลาม เหตุเป็นผู้คร่ำหวอดในธุรกิจยานยนต์มากว่า 10 ปีและชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับ ตั้งเป้าปีแรกเปิดศูนย์ติดตั้งและบริการครบ 15 สาขา ฟันรายได้ไม่ต่ำกว่า 80 ลบ. พร้อม ร่างแผนเตรียมขยายแฟรนไชส์คลุมทั่วภูมิภาคในอนาคต
นายไพบูลย์ สุขสุธรรมวงศ์ กรรมการผู้จัดการ บมจ. เอส.อี.ซี. ออโต้เซลส์ แอนด์ เซอร์วิส (SECC) กล่าวว่า บริษัทฯได้เตรียมขยายธุรกิจใหม่สู่ธุรกิจบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid สำหรับรถยนต์ที่ใช้พลังงานเชื้อเพลิงน้ำมันเบนซิน สลับกับก๊าซธรรมชาติอัด (Compressed Natural Gas หรือ CNG) เพื่อขยายฐานลูกค้าให้กว้างขวางขึ้นและเพิ่มรายได้ให้กับบริษัทในอนาคต นอกเหนือจากธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์ที่นำเข้าจากต่างประเทศในปัจจุบัน ด้วยการตั้งบริษัทย่อยภายใต้ชื่อ "บริษัท ซีเอ็นจี ไฮบริด วีฮิเคิล จำกัด" เข้ามาดูแลธุรกิจดังกล่าวอย่างเต็มตัว โดยบริษัทถือหุ้น ประมาณ 99 %
เขากล่าวว่าการเข้าสู่ธุรกิจดังกล่าวเป็นเพราะมีความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมรถยนต์มานานกว่า 15 ปี ทำให้มองเห็นโอกาสการเติบโตของธุรกิจในจังหวะที่น้ำมันมีราคาเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งประเทศไทยทั้งผู้บริโภคและรัฐบาลได้ตื่นตัวและให้ความสำคัญโดยหันมาใช้พลังงานทางเลือกมากขึ้น โดยเฉพาะพลังงานจากก๊าซธรรมชาติที่มีราคาถูกและประเทศไทยสามารถผลิตได้เอง แต่ในช่วงที่ผ่านมายังไม่มีผู้ประกอบการรายใดที่มีความพร้อมด้านเทคโนโลยีในการติดตั้ง อุปกรณ์ที่ได้มาตรฐาน บุคลากรที่มีความชำนาญ รวมทั้งมีชิ้นส่วนอะไหล่และการบริการหลังการขายที่ครบวงจร เข้ามาเปิดตลาดอย่างจริงจัง ในขณะที่ตลาดมีความต้องการสินค้าดังกล่าวค่อนข้างสูง
จากการสำรวจพบว่าขณะนี้มีรถยนต์ที่ต้องการเปลี่ยนเครื่องยนต์มาใช้พลังงานก๊าซธรรมชาติถึง 5 แสนคัน แต่ยังไม่มีตลาดเข้ามารองรับ ดังนั้น บริษัทฯในฐานะผู้ที่มีความเชี่ยวชาญและมีความพร้อมทั้งทางด้านเทคโนโลยี และบุคลากร จึงได้ตัดสินใจรุกสู่ธุรกิจบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid อย่างจริงจัง ด้วยการจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมาดูแลธุรกิจดังกล่าวเต็มตัว โดยแผนการขยายธุรกิจในช่วงแรกจะทำในลักษณะจัดตั้งศูนย์รับติดตั้งระบบ CNG Hybrid การให้บริการหลังการขาย และร้านจัดจำหน่ายอะไหล่และอุปกรณ์ รองรับลูกค้าตามจุดต่างๆ ในเขตกรุงเทพมหานคร ซึ่งคาดว่าจะใช้งบลงทุนประมาณ 20 — 30 ล้านบาท โดยงบลงทุนจะมาจากกระแสเงินสดของบริษัท ส่วนเป้าหมายในปีแรกคาดว่าจะเปิดได้ประมาณ 15 สาขา โดยแบ่ง เป็นส่วนของโชว์รูม เอส.อี.ซี. เอง 5 สาขา และส่วนของแฟรนไชน์ส์ทั่วภูมิภาคอีก 10 สาขา และหลังจากที่ตลาดขยายตัวไปในระดับหนึ่ง บริษัทฯจะเปิดขยายสาขาเพิ่มเติมไปทั่วทุกภูมิภาคของประเทศ เพื่อรองรับลูกค้าและให้บริการครอบคลุมพื้นที่กว้างขวางขึ้น
"ศูนย์บริการของเราจะประกอบไปด้วยธุรกิจ 3 ส่วน คือ ส่วนแรกจะรับให้บริการติดตั้ง CNG Hybrid ส่วนที่สองเป็นการให้บริการหลังการขายสำหรับลูกค้าทั่วไปและส่วนที่สามเป็นธุรกิจจัดจำหน่ายชิ้นส่วนอะไหล่อุปกรณ์ที่ใช้กับระบบก๊าซทั้ง CNG และก๊าซ LPG ซึ่งคาดว่าจะได้รับการตอบรับจากลูกค้าเป็นอย่างดี เพราะธุรกิจของ เอส.อี.ซี.สามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงใจ ทั้งเป็นบริษัทที่ได้รับความไว้วางใจจากลูกค้าในธุรกิจรถยนต์มาช้านาน สินค้าที่มีคุณภาพ การให้บริการที่ได้มาตรฐาน มีการรับประกันสินค้า และมีการบริการหลังการขายที่ครบวงจร ซึ่งเหล่านี้ถือเป็นจุดแข็งเหนือกว่าผู้ประกอบการรายอื่นในตลาดในปัจจุบัน"
นายไพบูลย์กล่าวอีกว่า กลุ่มเป้าหมายจะเป็นลูกค้าระดับกลางถึงสูง ทั้งที่เป็นลูกค้าเดิมที่ซื้อรถยนต์และใช้บริการหลังการขายกับบริษัทมาก่อน และลูกค้าทั่วไปที่ต้องการเปลี่ยนการใช้พลังงานในรถยนต์มาเป็นระบบ CNG Hybrid โดยอัตราการให้บริการต่อครั้งจะขึ้นอยู่กับสมรรถนะรถยนต์ของลูกค้าและความต้องการของลูกค้าว่าจะใช้สินค้าที่เป็นถังบรรจุก๊าซประเภทใด เนื่องจากถังบรรจุก๊าซแต่ละประเภทจะมีราคาแตกต่างกัน
อย่างไรก็ดี ธุรกิจบริการติดตั้งและจัดจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในระบบ CNG Hybrid สำหรับรถยนต์ถือเป็นธุรกิจนำร่องที่บริษัทจะก้าวไปสู่ตลาดระดับมวลชน (Mass Market) เท่านั้น หลังจากนั้นมีความเป็นไปได้ที่บริษัทฯจะขยายธุรกิจเพิ่มด้วยการจัดจำหน่ายรถยนต์ที่ติดตั้งอุปกรณ์ดังกล่าวสำเร็จรูป เนื่องจากตลาดยังมีช่องว่าง และบริษัทมีความพร้อมเพียงพอ
เขากล่าวอีกว่าการขยายธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ ในช่วงแรกอาจจะสร้างรายได้ให้บริษัทไม่มากนัก เนื่องจากเมื่อเทียบกับรายได้จากการขายรถยนต์นำเข้าจากต่างประเทศซึ่งเป็นธุรกิจหลัก ที่มียอดขายเฉลี่ยต่อปีคิดเป็นรายได้ประมาณ 2,500 ล้านบาท แต่ธุรกิจใหม่ถือเป็นธุรกิจที่มีโอกาสเติบโตสูง สามารถสร้างรายได้อย่างมั่นคงในอนาคตหากมีการขยายตลาดอย่างต่อเนื่องตามเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งคาดว่าจะเห็นธุรกิจใหม่ขยายตัวอย่างชัดเจนในปี 2550 โดยบริษัทคาดว่าจะรับรู้รายได้จากธุรกิจใหม่ในปีแรกประมาณ 80 ล้านบาท
สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
คุณณัฐพงษ์ ใจแกล้ว โทร.081-4010226

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version