กรุงเทพฯ--21 ก.พ.--ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย
นายสุทธิชัย จิตรวาณิช รองผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยว่า ตามที่นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ ถูกกล่าวโทษจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ทำให้ขาดคุณสมบัติเป็นผู้บริหารบริษัท จดทะเบียนนั้น มีผลให้นายประชัยขาดคุณสมบัติการเป็นผู้บริหารในบริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) (BUI) ด้วย และหากนายประชัยยังคงเป็นผู้บริหาร BUI ต่อไป จะมีผลให้ BUI ไม่สามารถดำรงคุณสมบัติในการเป็นบริษัทจดทะเบียนได้ และอาจมีผลให้บริษัทเข้าข่ายถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้ในที่สุด
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอเรียกร้องให้นายประชัย เลี่ยวไพรัตน์ แสดงสปิริตโดยการลาออกจากการเป็นผู้บริหารของ บริษัท บางกอกสหประกันภัย จำกัด (มหาชน) (BUI) เพราะหากนายประชัยยังคงเป็นผู้บริหารของบริษัทฯ ต่อไป จะทำให้บริษัทฯ อาจถูกเพิกถอนจากตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งจะส่งผลให้ผู้ถือหุ้นจำนวนมากได้รับความเสียหายได้ จึงขอให้เห็นแก่ผลเสียหายที่อาจตกอยู่กับบริษัท ผู้ถือหุ้น และพนักงานของบริษัทจากผลของการเป็นผู้บริหารในบริษัทต่อไป” นายสุทธิชัยกล่าว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2547 ก.ล.ต. ได้กล่าวโทษนายประชัย ต่อกรมสอบสวนคดีพิเศษ ว่านายประชัยทำการแพร่ข่าวที่ทำให้บุคคลอื่นเข้าใจว่าราคาหุ้น บมจ. ทีพีไอ โพลีน (TPIPL) จะสูงขึ้น การที่ถูกหน่วยงานทางการกล่าวโทษ ทำให้นายประชัยขาดคุณสมบัติที่จะเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนทั้งตามข้อกำหนดของก.ล.ต.และข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ
นายสุทธิชัยกล่าวว่า ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีหนังสือเมื่อวันที่ 18 สิงหาคม 2548 แจ้งให้บริษัทแก้ไขคุณสมบัติการเป็น ผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนภายใน 60 วัน ซึ่ง BUI ได้ยื่นอุทธรณ์ต่อคณะกรรมการอุทธรณ์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2548 โดยอ้างว่าการนำข้อกำหนดว่าด้วยเรื่องการดำรงสถานะการเป็นบริษัทจดทะเบียน ซึ่งอ้างอิงประกาศคณะกรรมการ ก.ล.ต. เกี่ยวกับคุณสมบัติผู้บริหารของบริษัทที่ออกหลักทรัพย์มาใช้ในการพิจารณาการขาดคุณสมบัติการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนของนายประชัยนั้น ถือว่าไม่มีผล เนื่องจากเป็นการใช้ประกาศดังกล่าวย้อนหลัง
นายสุทธิชัยกล่าวว่า คณะกรรมการอุทธรณ์ตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งประกอบไปด้วยผู้ทรงคุณวุฒิจากภายนอก ที่มีความเป็นกลาง และมีความเป็นอิสระ ได้มีความเห็นว่าคำอุทธรณ์ของ BUI ฟังไม่ขึ้น โดยพิจารณาแล้วเห็นว่าประกาศ คณะกรรมการ ก.ล.ต. ดังกล่าว ทั้งข้อกำหนดที่ใช้อยู่เดิมกับข้อกำหนดที่ออกใหม่มีหลักเกณฑ์เดียวกันในการกำหนดให้ ผู้บริหารที่ถูกทางการกล่าวโทษแล้วต้องขาดคุณสมบัติการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียน
เมื่อ BUI ได้รับทราบผลการอุทธรณ์ในวันที่ 23 พฤศจิกายน 2548 และครบกำหนดระยะเวลา 60 วัน เมื่อวันที่ 12 มกราคม 2549 แล้ว (โดยไม่นับช่วงอุทธรณ์) นายประชัยยังคงไม่ได้ลาออกจากการเป็นผู้บริหาร BUI
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ เห็นว่าได้ขอให้ BUI ดำเนินการแก้ไขคุณสมบัติของ BUI มาพอสมควรแล้ว จนถึงบัดนี้ยังไม่ ปรากฎว่ามีการดำเนินการแต่อย่างใด ดังนั้น หากนายประชัยให้ความร่วมมือในการปฏิบัติตามข้อกำหนดของตลาดหลักทรัพย์ฯ และสำนักงาน ก.ล.ต. ด้วยการสละตำแหน่งในการบริหารงานใน BUI ก็จะสามารถช่วยแก้ไขสถานการณ์ของ
บริษัทได้ โดยที่นายประชัยยังคงมีสิทธิพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตนตามกระบวนการยุติธรรมต่อไปได้ทุกประการ โดยไม่ จำเป็นต้องทำให้บริษัท ผู้ถือหุ้น และพนักงานต้องเสียหายไปด้วย และในที่สุดหากคดีมีข้อยุติว่านายประชัยไม่ผิด นายประชัยก็สามารถกลับเข้ามาเป็นผู้บริหารบริษัทได้ดังเดิม” นายสุทธิชัยกล่าว
ทั้งนี้ การพิจารณาปรับเปลี่ยนกรรมการในบริษัทจดทะเบียนนั้น อยู่ในขอบเขตที่คณะกรรมการของบริษัทสามารถนำเสนอต่อที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังว่าคณะกรรมการ BUI จะดำเนินการให้ เพื่อการแก้ไขคุณสมบัติการเป็นผู้บริหารบริษัทจดทะเบียนได้อย่างถูกต้อง อันจะเป็นการดำรงความเป็นอิสระตามหลักบรรษัทภิบาลที่ดี โดยไม่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อส่วนรวม
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ ขอสนับสนุนให้ผู้ถือหุ้นได้ใช้สิทธิในการปกป้องสิทธิประโยชน์ของผู้ถือหุ้น โดยการใช้สิทธิในการนำเสนอเรื่องดังกล่าวขึ้นมาพิจารณาในการประชุมผู้ถือหุ้น ถึงแม้จะไม่ได้มีการกำหนดไว้ในวาระการประชุมสามัญผู้ถือหุ้นซึ่งจะมีขึ้นในเร็ว ๆ นี้ก็ตาม
นายสุทธิชัยกล่าวเสริมว่า “ตลาดหลักทรัพย์ฯ หวังว่าเรื่องนี้จะจบลงในทางที่เป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่าย โดยการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ของคณะกรรมการบริษัทและที่ประชุมผู้ถือหุ้น และไม่อยากให้การละเลยไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดนี้นำไปสู่การ เพิกถอน BUI ซึ่งตลาดทรัพย์ฯ อาจจำเป็นต้องใช้เป็นวิธีสุดท้ายในกรณีที่ไม่สามารถดำเนินการในทางเลือกอื่นใดได้อีกแล้ว”
อนึ่ง ที่ผ่านมาเมื่อมีกรณีที่ผู้บริหารในบริษัทจดทะเบียนถูกทางการกล่าวโทษ ผู้บริหารดังกล่าวก็ได้ลาออกจากตำแหน่ง ทำให้ไม่มีผลกระทบต่อบริษัทและผู้ถือหุ้น--จบ--