กรุงเทพฯ--23 ม.ค.--พริส ไพออริตี้
บริษัท อิปซอสส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจ และวิจัยทางการตลาดอันดับ 3 ของโลก ซึ่งมีเครือข่ายในกว่า 40 ประเทศทั่วโลก ขยายเครือข่ายพร้อมเปิดให้บริการในประเทศไทยอย่างเป็นทางการพร้อมเผยกลยุทธ์และนโยบายหลักที่สำคัญในการประกอบธุรกิจ
บริษัท อิปซอสส์ ผู้เชี่ยวชาญด้านการสำรวจ และวิจัยทางการตลาดอันดับ 3 ของโลก จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
นายริชาร์ด เมคคิ กรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร อิปซอสส์ เอเชียแปซิฟิก กล่าวว่า “ อิปซอสส์ หนึ่งในบริษัทวิจัยตลาดที่เติบโตอย่างรวดเร็วในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปัจจุบันมีพนักงานมากกว่า 600 คน และมีสำนักงานมากกว่า 15 แห่งกระจายอยู่ทั่วภูมิภาค มีการขยายเครือข่ายอย่างรวดเร็ว เรามุ่งเน้นที่การวิเคราะห์ประมวลผล และ กระจายข้อมูลที่ได้จากการรวบรวมความคิดเห็น ความต้องการ ทัศนคติ และ พฤติกรรมของผู้บริโภค
ในภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เราได้ใช้กลยุทธ์การจัดการทางภูมิภาคที่ประสบความสำเร็จ โดยมุ่งเน้นความเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน เราเข้าใจในตราสินค้า และรู้ว่าจะทำอย่างไรเพื่อพัฒนาและสร้างตราสินค้านั้น เราประเมินศักยภาพทางการตลาด และเข้าใจแนวโน้มของตลาด เราช่วยลูกค้าของเราสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าของเขา เราทดสอบโฆษณาและศึกษาการตอบสนองต่อสื่อต่าง ๆ รวมถึงการสำรวจประชามติในประเทศต่าง ๆ ทั่วโลก
ส่วนสำคัญของธุรกิจของเราคือ ความร่วมมือในการทำวิจัยทั้งเชิงปริมาณ และ เชิงคุณภาพ ในระดับภูมิภาคและระดับโลก ด้วยปรัชญาการวิจัยที่เป็นหนึ่งเดียว ความหลากหลายของเทคนิคการวิจัย และ ฐานข้อมูล ทำให้เรามั่นใจในมาตรฐานการวิจัยที่เท่าเทียมกัน รวมถึงการแลกเปลี่ยนความรู้ความเชี่ยวชาญในระหว่างประเทศ”
นายเจอโรม เฮอวิโอ กรรมการเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “อิปซอสส์ เล็งเห็นศักยภาพของประเทศไทยในการเป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจของภูมิภาค จึงเป็นความท้าทายของเราที่จะพัฒนาความเชี่ยวชาญพิเศษ เพื่องานวิจัยที่มีคุณภาพในประเทศไทยและในภูมิภาค”
บริษัท อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) เป็นส่วนหนึ่งใน เครืออิปซอสส์อินเตอร์เนชั่นแนล และได้เริ่มธุรกิจตั้งแต่เดือนกันยายน 2548 ในขณะนี้ อิปซอสส์ (ไทยแลนด์) เปิดบริการวิจัยเต็มรูปแบบแล้ว
“ในลำดับแรก เราจะมุ่งเน้นไปที่การวิจัยตลาด การวิจัยโฆษณา และ การวิจัยความจงรักภักดีต่อตราสินค้า เราไม่มุ่งเน้นที่ผลประกอบการ แต่เรามุ่งเน้นที่คุณภาพของงานเป็นสำคัญ” นายเจอโรม เฮอวิโอ กล่าว--จบ--