กรุงเทพฯ--19 ต.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่มีประกัน (LOXL06NA, LOXL08NA) ของ บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จำกัด (มหาชน) ที่ระดับ “BBB+” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” โดยอันดับเครดิตสะท้อนถึงการมีธุรกิจที่หลากหลาย ความมีชื่อเสียง และการมีฝ่ายบริหารที่มีความสามารถและประสบการณ์ยาวนานซึ่งทำให้บริษัทมีบทบาทที่แข็งแกร่งในธุรกิจหลายประเภททั้งด้านเทคโนโลยีและการค้า อย่างไรก็ตาม จุดเด่นดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากอัตราส่วนผลกำไรที่ค่อนข้างต่ำโดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจการค้า รวมทั้งจากภาระหนี้ที่คาดว่าจะสูงขึ้นจากโครงการให้บริการสลากออนไลน์ และความผันผวนของรายได้ที่มาจากงานโครงการต่างๆ
ในขณะที่แนวโน้มอันดับเครดิต “Negative” หรือ “ลบ” ของบริษัทสะท้อนถึงผลการดำเนินงานในธุรกิจหลักของบริษัทที่ยังคงต่ำเมื่อเทียบกับระดับของอันดับเครดิตที่ได้รับ ซึ่งทริสเรทติ้งจะติดตามความสำเร็จของบริษัทในการปรับโครงสร้างหน่วยงานที่มีผลงานไม่ดี ซึ่งได้แก่กลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศและสินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์ รวมไปถึงความสำเร็จในการดำเนินงานที่ยังไม่ได้ส่งมอบ โดยบริษัทมีโอกาสที่จะถูกลดอันดับเครดิตหากไม่สามารถปรับปรุงผลประกอบการให้ดีขึ้นได้ภายใน 9-12 เดือนข้างหน้า
ทริสเรทติ้งรายงานว่า บริษัทล็อกซ์เล่ย์เป็นผู้ประกอบธุรกิจโฮลดิ้งซึ่งจำแนกธุรกิจหลักออกเป็น 2 กลุ่ม คือ กลุ่มธุรกิจเทคโนโลยี และกลุ่มธุรกิจการค้า โดยกลุ่มธุรกิจเทคโนโลยีแบ่งออกเป็น 5 สายธุรกิจ ได้แก่ เทคโนโลยีสารสนเทศ โครงสร้างพื้นฐาน โทรคมนาคม สินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์ และสลากออนไลน์ ส่วนกลุ่มธุรกิจการค้านั้นจะเกี่ยวข้องกับเคมีภัณฑ์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และสินค้าอุปโภคและบริโภค ด้วยประสบการณ์ที่ยาวนานกว่า 60 ปี บริษัทได้วางรากฐานและรักษาสัมพันธภาพที่ดีทั้งกับลูกค้าและตัวแทนจำหน่าย จุดแข็งที่สำคัญของบริษัทคือความชำนาญและประสบการณ์ของคณะผู้บริหารและพนักงาน โดยบริษัทมีพนักงานทั้งในด้านเทคนิคและวิศวกรรมที่มีความสามารถซึ่งได้รับการฝึกอบรมจนเป็นผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางซึ่งช่วยให้บริษัทสามารถเสนอสินค้าและบริการที่ตรงกับความต้องการของลูกค้า สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นปัจจัยสำคัญในการดำรงความสัมพันธ์ที่แข็งแกร่งกับหุ้นส่วนธุรกิจซึ่งเป็นกลุ่มเป้าหมายและตัวแทนจำหน่ายซึ่งช่วยเสริมความสามารถในการแข่งขันให้แก่บริษัทในการประมูลงานโครงการต่างๆ
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า ลูกค้าส่วนใหญ่ของบริษัทล็อกซ์เล่ย์ ได้แก่ หน่วยงานภาครัฐและบริษัทเอกชนขนาดใหญ่ โดยลักษณะงานส่วนใหญ่ของกลุ่มลูกค้าภาครัฐเป็นงานประมูล ดังนั้น กระแสเงินสดจากการดำเนินงานของบริษัทบางส่วนจึงขึ้นอยู่กับผลสำเร็จของการประมูลงานและความสามารถในการบริหารโครงการของบริษัท ส่วนรายได้จากการขายสินค้าและบริการซึ่งส่วนใหญ่มาจากกลุ่มธุรกิจการค้า ตลอดจนธุรกิจสินค้าอุปโภคบริโภคอิเล็กทรอนิกส์ และบริการหลังการรับเหมาติดตั้งโครงการ (Turnkey Project) เริ่มแสดงสัญญาณการฟื้นตัวมาตั้งแต่ปี 2544 เป็นต้นมา โดยเพิ่มจาก 4,947 ล้านบาทในปี 2544 เป็น 6,453 ล้านบาทในปี 2547 6,635 ล้านบาทในปี 2548 และ 3,504 ล้านบาทสำหรับครึ่งแรกของปี 2549 โดยสัดส่วนของรายได้จากการขายสินค้าและบริการอยู่ที่ 60%-65% ระหว่างปี 2544-2548 และ 74% สำหรับครึ่งแรกของปี 2549 เนื่องจากรายได้จากโครงการที่ชะลอตัว นอกจากนี้ อัตราส่วนกำไรจากการดำเนินงานของบริษัทก่อนรวมรายได้จากเงินปันผลลดลงจากระดับ -0.05% ในปี 2547 เป็น -6.45% ในปี 2548 และ -3.94% สำหรับครึ่งแรกของปี 2549 โดยมีสาเหตุมาจากผลประกอบการในธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ซึ่งเป็นตราสัญลักษณ์ของบริษัทเองและกลุ่มเทคโนโลยีสารสนเทศที่ตกลงตั้งแต่ปี 2547 เป็นต้นมา รวมถึงจากโครงการเกษียณอายุก่อนกำหนดของบริษัทที่มีค่าใช้จ่ายถึง 75 ล้านบาท และจากการตั้งสำรองด้อยค่าจากการลงทุนจำนวน 154 ล้านบาทในปี 2548 และ สำรองเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บริษัทอื่นมูลค่า 126 ล้านบาทสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2549
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า นอกเหนือจากธุรกิจหลักแล้ว กระแสเงินสดส่วนใหญ่ของบริษัทล็อกซ์เล่ย์ยังมาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและรายได้อื่น ตลอดจนเงินสดรับจากเงินปันผลที่บริษัทได้ลงทุนไว้ บริษัทได้รับเงินปันผลอย่างต่อเนื่องจากการลงทุนในระยะยาวในบริษัทหลายแห่ง เช่น บริษัท แอสแพค ออยล์ (ประเทศไทย) จำกัด บริษัท บลูสโคป สตีล ไลสาจท์ (ไทยแลนด์) จำกัด และ บริษัท บลูสโคป สตีล (ไทยแลนด์) จำกัด (กลุ่มบริษัท บลูสโคป) บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ ไวร์เลส จำกัด บริษัท น้ำหวานลาว จำกัด บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ เทรดดิ้ง จำกัด และ บริษัท ไทยไฟเบอร์ออพติคส์ จำกัด เป็นต้น บริษัทหลักที่จ่ายเงินปันผลให้แก่บริษัทคือบริษัทแอสแพค ออยล์ (ประเทศไทย) ซึ่งเป็นผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำมันหล่อลื่นยี่ห้อ “คาสตรอล” และ “บีพี” โดยได้จ่ายเงินปันผลจำนวน 180.3 ล้านบาทให้แก่บริษัทในปี 2547 117.6 ล้านบาทในปี 2548 และ 48 ล้านบาทสำหรับ 6 เดือนแรกของปี 2549 สาเหตุที่เงินปันผลลดลงโดยลำดับนั้นเนื่องมาจากราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับสูงอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งจากการแข่งขันที่รุนแรง และการควบคุมราคาน้ำมันหล่อลื่นโดยภาครัฐ
หนี้สินของบริษัทล็อกซ์เล่ย์ ลดลงอย่างต่อเนื่อง โดยอัตราส่วนหนี้สินต่อทุนในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาลดลงจาก 74.4% ในปี 2544 เป็น 38%-46% ในระหว่างปี 2545-2548 และ 36.1% ณ สิ้นเดือนมิถุนายน 2549 เนื่องจากบริษัทมีผลกำไรจำนวน 750 ล้านบาทจากการขายหุ้นใน บริษัท ล็อกซ์เล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งทำให้บริษัทมีภาระหนี้ลดลงจากการที่ไม่ได้นำเอางบการเงินของบริษัทล็อกซ์เล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี เข้ามาคำนวณในงบการเงินรวม อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันบริษัทถือหุ้น 35% ในบริษัทล็อกซ์เล่ย์ จีเทค เทคโนโลยี และบริษัทมีภาระค้ำประกันหนี้เงินกู้ในบริษัทดังกล่าวร่วมกับผู้ถือหุ้นรายอื่นๆ ตามสัดส่วนการถือหุ้น ซึ่งคาดว่าเป็นจำนวนทั้งสิ้นประมาณ 350 ล้านบาท (35% จากยอดเงินกู้ 1,000 ล้านบาท) โดยที่ภาระดังกล่าวจะหมดลงเมื่อเริ่มดำเนินโครงการซึ่งคาดว่าจะอยู่ในช่วงปลายปี 2549
ทริสเรทติ้งเห็นว่าการที่คณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (คปค.) ยึดอำนาจรัฐบาลรักษาการณ์ของอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ ชินวัตร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 จะไม่ส่งผลกระทบต่ออันดับเครดิตของบริษัทในระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในช่วง 1 ปีก่อนการเลือกตั้งครั้งต่อไป ทริสเรทติ้งจะติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และจะทบทวนอันดับเครดิตของบริษัทหากปรากฏว่ามีผลกระทบในระยะปานกลางต่อไป
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
- ๒๔ ธ.ค. 5 ปี ติดต่อกัน! ทริสเรทติ้ง คงอันดับเครดิตองค์กร ธอส. ปี 2567 ในระดับ AAA และแนวโน้มอันดับเครดิตที่ระดับคงที่ ตอกย้ำสถานะทางการเงินที่มั่นคงและแข็งแกร่ง
- ๒๓ ธ.ค. SAM ได้รับการจัดอันดับเครดิตองค์กรจาก TRIS ที่ระดับ "AA+" ด้วยแนวโน้มอันดับเครดิต "Stable" หรือ "คงที่"
- ๒๓ ธ.ค. SUPER ปลื้ม! ทริสฯคงเครดิตองค์กร"BBB" แนวโน้ม "Stable" สะท้อนสินทรัพย์คุณภาพดี - กระแสเงินสดมั่นคง