กรุงเทพฯ--14 ก.ค.--ทริสเรทติ้ง
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ประกาศคงอันดับเครดิตหุ้นกู้มีการค้ำประกัน (UTT07DA, UTT083A) ของ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด (UTT หรือ ผู้ออกตราสาร) ในระดับ “AAA” พร้อมแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” โดยอันดับเครดิตดังกล่าวได้รับการค้ำประกันเต็มจำนวนจากบริษัทแม่คือ Unilever N.V. (ผู้ค้ำประกัน) ซึ่งได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับ “A+” จากสแตนดาร์ด แอนด์ พัวร์ (เอสแอนด์พี) และ “A1” จากมูดี้ส์ อินเวสเตอร์ เซอร์วิส (มูดี้ส์) โดยอันดับเครดิตตราสารหนี้ของผู้ออกตราสารยังคงสะท้อนความน่าเชื่อถือของผู้ค้ำประกันต่อไป แม้ว่าผู้ค้ำประกันจะไม่มีข้อผูกพันในการชำระหนี้แทนผู้ออกตราสารในกรณีที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระเงินตามข้อผูกพันได้อันเนื่องมาจากการแทรกแซงของหน่วยงานใดใดของรัฐบาลไทย หรือถูกยึด อายัด หรือเวนคืนทรัพย์สินของผู้ออกตราสาร แต่ทริสเรทติ้งเห็นว่าความเป็นไปได้ที่จะเกิดเหตุการณ์ดังกล่าวมีค่อนข้างต่ำ
แนวโน้มอันดับเครดิต “Stable” หรือ “คงที่” ของหุ้นกู้มีการค้ำประกันของ UTT มาจากคุณภาพเครดิตของ Unilever N.V. ซึ่งเป็นผู้ค้ำประกันและได้รับอันดับเครดิตระดับ “A+” ด้วยแนวโน้ม “Stable” หรือ “คงที่” จากเอสแอนด์พี และระดับ “A1” ด้วยแนวโน้ม “Negative” หรือ “ลบ” จากมูดี้ส์ ทั้งนี้ แนวโน้มอันดับเครดิตของผู้ค้ำประกันซึ่งสะท้อนถึงการกระจายธุรกิจไปยังภูมิภาคต่างๆ และความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ ตลอดจนการบริหารตราสินค้าในเชิงรุกยิ่งขึ้น และนโยบายการควบคุมค่าใช้จ่ายน่าจะเป็นผลดีในการสร้างผลกำไรให้แก่กลุ่มและสร้างกระแสเงินสดที่สูงขึ้นอย่างสม่ำเสมอ โดยกระแสเงินสดดังกล่าวจะช่วยให้ผู้ค้ำประกันสามารถฟื้นฟูสถานะทางการเงินให้ค่อยๆ ดีขึ้นจนสะท้อนสถานะอันดับเครดิตในปัจจุบันได้
ทริสเรทติ้งรายงานว่า ภายใต้ข้อตกลงค้ำประกัน บริษัทแม่ผู้ค้ำประกันจะต้องให้การค้ำประกันแก่หุ้นกู้ของ UTT ที่ได้รับการจัดอันดับเครดิตดังกล่าวนี้อย่างไม่มีเงื่อนไขและไม่สามารถเพิกถอนได้โดยจะต้องรับผิดชอบในการชำระหนี้ตามกำหนดเวลาและเต็มจำนวนแทนผู้ออกตราสาร อย่างไรก็ตาม การค้ำประกันดังกล่าวจะไม่มีผลผูกพันต่อผู้ค้ำประกันในกรณีที่ผู้ออกตราสารไม่สามารถชำระหนี้ได้อันมีสาเหตุมาจากการถูกแทรกแซงโดยหน่วยงานใดใดของรัฐบาลไทยซึ่งมีผลทำให้ผู้ออกตราสารไม่สามารถโอนเงินหรือแปลงเงินตราต่างประเทศเพื่อการชำระหนี้ได้ หรือถูกยึด อายัด หรือเวนคืนทรัพย์สินของผู้ออกตราสารหรือบริษัทย่อยของผู้ออกตราสารซึ่งทรัพย์สินดังกล่าวมีมูลค่าไม่น้อยกว่าจำนวนที่ระบุไว้ในสัญญาค้ำประกัน หรือมีการโอนทรัพย์สินไปยังนิติบุคคลอื่นใดที่มิใช่บริษัทในกลุ่มของผู้ค้ำประกันโดยการโอนดังกล่าวเป็นผลจากการแทรกแซงของหน่วยงานใดใดของรัฐบาลไทย การค้ำประกันหุ้นกู้ซึ่งอยู่ภายใต้กฎหมายของประเทศอังกฤษดังกล่าวนี้ไม่สามารถเพิกถอนได้จนกว่าภาระผูกพันโดยผู้ออกตราสารจะได้รับการชำระจนครบถ้วน
ทริสเรทติ้งกล่าวว่า Unilever N.V. และ Unilever PLC ซึ่งเรียกรวมกันว่า Unilever Group หรือ Unilever เป็นบริษัทมหาชนที่จดทะเบียนในประเทศเนเธอร์แลนด์และอังกฤษตามลำดับ โดยบริษัททั้งสองดังกล่าวดำเนินงานเสมือนเป็นบริษัทเดียวกันเนื่องจากมีกรรมการร่วมกันและเชื่อมโยงกันด้วยข้อสัญญาต่างๆ ดังนั้น ทั้ง 2 บริษัทจึงได้รับการจัดอันดับเครดิตในระดับที่เท่ากันคือ “A+” จากเอสแอนด์พี และ “A1” จากมูดี้ส์ อันดับเครดิตของ Unilever สะท้อนถึงความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สินค้าอุปโภคและบริโภคซึ่งเป็นตราสินค้าชั้นนำ และการกระจายตัวของสินค้าที่กว้างขวางไปทั่วโลก นอกจากนี้ยังสะท้อนถึงช่องทางการกระจายสินค้าที่แข็งแกร่งในตลาดประเทศกำลังพัฒนาซึ่งมีอัตราการขยายตัวสูง อย่างไรก็ตาม ปัจจัยบวกดังกล่าวถูกลดทอนลงบางส่วนจากสถานะทางการเงินของ Unilever ที่ค่อนข้างอ่อนแอเมื่อเทียบกับระดับของอันดับเครดิตที่ได้รับ และจากอัตราส่วนกำไรที่ค่อนข้างต่ำเมื่อเทียบกับคู่แข่ง นอกจากนี้ ยังมีการพิจารณาถึงปัจจัยที่สนับสนุนอันดับเครดิตด้วยว่าจะมีข้อจำกัดจากอัตราการขยายตัวของ Unilever ที่ชะลอตัวลงในตลาดหลักคือตลาดยุโรป ตลอดจนการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงของอุตสาหกรรมสินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสถานะทางการตลาดและอัตราการทำกำไรของ Unilever ได้
ทริสเรทติ้งยังกล่าวด้วยว่า อันดับเครดิตของ Unilever ที่จัดโดยเอสแอนด์พีในระดับ “AAA” และที่จัดโดยมูดี้ส์ในระดับ “Aaa” คงอยู่ในระดับดังกล่าวเป็นเวลานานก่อนที่จะถูกลดอันดับลงมาที่ “A+” และ “A1” ในปี 2543 ซึ่งเป็นผลมาจากการที่ Unilever มีระดับอัตราส่วนเงินกู้และความพอเพียงของกระแสเงินสดที่อ่อนแอลงจากผลของการซื้อกิจการของ Unilever โดยเฉพาะอย่างยิ่งการใช้เงินกู้ยืมเพื่อซื้อกิจการของ Bestfoods อย่างไรก็ตาม แม้ปัจจุบันภาระหนี้ของ Unilever จะทยอยลดลงบ้างแล้ว แต่อัตราส่วนเงินกู้รวมต่อโครงสร้างเงินทุนยังคงอยู่ในระดับที่สูงถึง 58.5 % ณ สิ้นปี 2548 ทั้งนี้ หากกลุ่มบริษัท Unilever ไม่มีการใช้เงินกู้ยืมจำนวนมากเพื่อการซื้อกิจการเพิ่มเติม และยังคงดำเนินนโยบายทางการเงินที่ระมัดระวังอย่างต่อเนื่องต่อไปก็คาดว่าอันดับเครดิตของกลุ่ม Unilever จะยังไม่เปลี่ยนแปลง
ในวันที่ 7 พฤศจิกายน 2548 UTT ได้ควบรวมกิจการกับ บริษัท ยูนิลีเวอร์ เบสท์ฟู้ดส์ (ประเทศไทย) จำกัด (UBF) โดยทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทลูกของผู้ค้ำประกัน ซึ่งภาระหนี้และสถานะการค้ำประกันได้ถูกโอนไปยังบริษัทที่ถูกควบรวมกิจการภายใต้ความยินยอมของผู้ค้ำประกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ทริสเรทติ้งกล่าว
บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด สงวนลิขสิทธิ์ พ.ศ. 2549 ห้ามมิให้บุคคลใดใช้ เปิดเผย ทำสำเนาเผยแพร่ แจกจ่าย หรือเก็บไว้เพื่อใช้ในภายหลังเพื่อประโยชน์ใดๆ ซึ่งรายงานหรือข้อมูลการจัดอันดับเครดิต ไม่ว่าทั้งหมดหรือแต่เพียงบางส่วน และไม่ว่าในรูปแบบ หรือลักษณะใดๆ หรือด้วยวิธีการใดๆ โดยมิได้รับอนุญาต การจัดอันดับเครดิตนี้มิใช่คำแถลงข้อเท็จจริง หรือคำเสนอแนะให้ซื้อ ขาย หรือถือตราสารหนี้ใดๆ แต่เป็นเพียงความเห็นเกี่ยวกับความเสี่ยงหรือความน่าเชื่อถือของตราสารหนี้นั้นๆ หรือของบริษัทนั้นๆ โดยเฉพาะ ความเห็นที่ระบุในการจัดอันดับเครดิตนี้มิได้เป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการลงทุน หรือคำแนะนำในลักษณะอื่นใด การจัดอันดับและข้อมูลที่ปรากฏในรายงานใดๆ ที่จัดทำ หรือพิมพ์เผยแพร่โดย บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้จัดทำขึ้นโดยมิได้คำนึงถึงความต้องการด้านการเงิน พฤติการณ์ ความรู้ และวัตถุประสงค์ของผู้รับข้อมูลรายใดรายหนึ่ง ดังนั้น ผู้รับข้อมูลควรประเมินความเหมาะสมของข้อมูลดังกล่าวก่อนตัดสินใจลงทุน บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ได้รับข้อมูลที่ใช้สำหรับการจัดอันดับเครดิตนี้จากบริษัทและแหล่งข้อมูลอื่นๆ ที่เชื่อว่าเชื่อถือได้ ดังนั้น บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด จึงมิได้รับประกันความถูกต้อง ความเพียงพอ หรือความครบถ้วนสมบูรณ์ของข้อมูลใดๆ ดังกล่าว และจะไม่รับผิดชอบต่อความสูญเสีย หรือความเสียหายใดๆ อันเกิดจากความไม่ถูกต้อง ความไม่เพียงพอ หรือความไม่ครบถ้วนสมบูรณ์นั้น และจะไม่รับผิดชอบต่อข้อผิดพลาด หรือการละเว้น ผลที่ได้รับ หรือการกระทำใดๆ โดยอาศัยข้อมูลดังกล่าว
- พ.ย. ๒๕๖๗ "วาสลีน" ไม่หยุดนิ่งพัฒนา เปิดตัว "โปร เดอร์มา" เติมเต็มเซกเมนต์โลชั่นเวชสำอาง
- พ.ย. ๒๕๖๗ ใหม่ “ซันไลต์ เอ็กซ์ตร้า” เลมอนและมะนาวเขียว ล้างจานได้มากกว่า 5 เท่า คุ้มค่า ประหยัดกว่า
- พ.ย. ๒๕๖๗ “โปรแมกซ์” แนะนำ 2 ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาด ที่พิสูจน์แล้วว่าฆ่าเชื้อไวรัสโคโรน่าภายใน 60 วินาที ด้วยสารโซเดียมไฮโปคลอไรต์