กรุงเทพฯ--27 ก.ย.--กฟผ.
กฟผ. รายงานสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนใหญ่แทบทุกแห่งมีปริมาณน้ำมาก แต่ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก ทั้งนี้ได้ประสานกับกรมชลประทานติดตามและควบคุมการระบายน้ำอย่างใกล้ชิด
วันนี้ (26 ก.ย.) เวลา 11.00 น. นายวัฒนา ทองศิริ ผู้ช่วยผู้ว่าโรงไฟฟ้าพลังน้ำ การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) เปิดเผยถึงสถานการณ์น้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ ของ กฟผ. พบว่า ฝนที่ตกจากอิทธิพลของพายุและร่องความกดอากาศสูงที่พาดผ่านประเทศไทย ได้ส่งผลให้ระดับน้ำในอ่างเก็บน้ำเหนือเขื่อนใหญ่ 5 แห่งของ กฟผ. เพิ่มสูงขึ้นกว่าร้อยละ 80 โดยในพื้นที่ภาคกลาง ที่เขื่อนศรีนครินทร์และเขื่อนวชิราลงกรณมีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำคิดเป็นร้อยละ 92.8 และร้อยละ 87.8 ของความจุอ่างเก็บน้ำตามลำดับ ส่วนภาคใต้ที่เขื่อนรัชชประภา มีปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำร้อยละ 86.8 ของความจุอ่างเก็บน้ำ
สำหรับพื้นที่ภาคเหนือที่ประสบภาวะฝนตกหนักอย่างต่อเนื่อง คือ ที่เขื่อนภูมิพล ปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำขณะนี้อยู่ที่ร้อยละ 90.89 ของความจุอ่างเก็บน้ำ และเขื่อนสิริกิติ์มีปริมาณน้ำร้อยละ 93.21 ของความจุอ่างเก็บน้ำ โดยอ่างเก็บน้ำของเขื่อนภูมิพลยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 1,227 ล้านลูกบาศก์เมตร ส่วนเขื่อนสิริกิติ์ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก 645 ล้านลูกบาศก์เมตร
นายวัฒนา กล่าวต่อไปว่า ขณะนี้ในภาคเหนือปริมาณฝนที่ตกลงมาได้ลดลงแล้ว เนื่องจากร่องความกดอากาศสูงได้เคลื่อนตัวลงสู่พื้นที่ภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางแล้ว อย่างไรก็ตามได้สั่งการให้แต่ละเขื่อนเฝ้าระวังและประสานกับกรมชลประทานเพื่อควบคุมการระบายน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อช่วยลดผลกระทบของสถานการณ์น้ำเอ่อล้นและน้ำท่วมบริเวณพื้นที่ท้ายเขื่อน
“ปีนี้ฝนตกเร็วตั้งแต่ต้นฤดูและตกต่อเนื่องเป็นเวลานาน ทำให้มีปริมาณน้ำฝนจำนวนมากกว่าปีที่แล้ว สำหรับในช่วงตั้งแต่เดือนมิถุนายนมาจนถึงปัจจุบัน เขื่อนต่าง ๆ สามารถกักเก็บน้ำไว้ได้เป็นจำนวนมาก และช่วยบรรเทาปัญหาผลกระทบด้านการเกิดอุทกภัยในหลายพื้นที่ ทั้งนี้แม้ว่าอ่างเก็บน้ำของเขื่อนต่างๆ จะมีปริมาณน้ำมาก แต่เขื่อนก็ยังสามารถรองรับน้ำได้อีก” นายวัฒนากล่าว