กรุงเทพฯ--21 ก.ค.--บางกอก พลับบลิค รีเลชั่นส์
เซ็นทรัลเวิลด์ไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ประกาศพร้อมเปิดให้บริการในวันนี้ ภายหลังจากการก่อสร้างและเตรียมการกว่า 3 ปี โดยจะเป็นไลฟ์สไตล์ช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ที่ใหญ่ที่สุดในภูมิภาค และใหญ่กว่า "มอลล์ ออฟ เอเชีย" ศูนย์การค้าเปิดใหม่ในฟิลิปปินส์ ทั้งนี้ เซ็นทรัลเวิลด์จะเป็นเสมือนจิ๊กซอว์ตัวสุดท้ายที่จะช่วยทำให้คอนเซ็ปต์ "ช้อปปิ้งสตรีท" ของกรุงเทพฯ ซึ่งเริ่มต้นจากถนนสุขุมวิทไปจรดสามแยกปทุมวันให้สมบูรณ์แบบไม่แพ้ช้อปปิ้งสตรีทในฮ่องกง (ถนนเนธาน) และสิงคโปร์ (ถนนอาร์ชาท)
โครงการเซ็นทรัลเวิลด์ตั้งอยู่ใจกลางกรุงเทพฯ มีพื้นที่ใช้สอยมากกว่า 830,000 ตรม. ซึ่งรวมคอนเวนชั่น เซ็นเตอร์ และโรงแรมระดับห้าดาวที่จะเปิดให้บริการได้ในปลายปีนี้และในปี 2551 ตามลำดับ โดยตั้งเป้าดึงดูดลูกค้า 150,000 คนต่อวัน ซึ่งในจำนวนนี้คาดว่าจะเป็นนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติประมาณ 50,000 คน และคาดว่าจะช่วยสนับสนุนเศรษฐกิจและเพิ่มรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาจับจ่ายใช้สอยในเซ็นทรัลเวิลด์ซึ่งคาดว่าจะมีปริมาณมากกว่า 73,000 ล้านบาทต่อปี นอกจากนี้ยังคาดว่าจะสามารถดึงดุดลูกค้าที่เดิมนิยมเดินทางไปช้อปปิ้งในต่างประเทศให้หันมาช้อปปิ้งในไทยมากขึ้น เป็นการช่วยลดปริมาณการไหลออกของเงินบาท
นายกอบชัย จิราธิวัฒน์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นเจ้าของโครงการเซ็นทรัลเวิลด์กล่าวว่า "การเปิดตัวของเซ็นทรัลเวิลด์จะช่วยสนับสนุนและเสริมสร้างศักยภาพซีพีเอ็นและเซ็นทรัลกรุ๊ปในการขยายธุรกิจค้าปลีกสู่ต่างประเทศ อีกทั้งยังสนับสนุนนโยบายของประเทศในการเป็น "ศูนย์กลางการช้อปปิ้งของเอเชีย"
"เซ็นทรัลเวิลด์ถือได้ว่าเป็นโครงการแฟลกชิพของซีพีเอ็น และยังได้รวมเอาแฟล็กชิพของทุกธุรกิจค้าปลีกที่บริหารโดยเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น (CRC) และแฟล็กชิพของธุรกิจโรงแรม การเปิดตัวของเซ็นทรัลเวิลด์จะช่วยตอกย้ำความเป็นผู้นำของซีพีเอ็นในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าปลีกในไทย และเพิ่มการยอมรับของซีพีเอ็นในระดับนานาชาติ"
นายกอบชัยกล่าวเพิ่มเติมว่าการเปิดของเซ็นทรัลเวิลด์จะช่วยเพิ่มรายได้ของซีพีเอ็นประมาณ 15% ในปีนี้
"สำหรับวันนี้ประมาณ 60% ของพื้นที่ 550,000 ตรม.ในส่วนช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ จะพร้อมเปิดให้บริการ โดยประกอบด้วยกว่า 200 ร้านค้าจากจำนวนทั้งหมด 500 ร้านค้า และแฟลกชิพสโตร์ของร้านค้าปลีกเฉพาะประเภท ได้แก่ เพาเวอร์บาย ซูเปอร์สปอร์ต บีทูเอส เอสบี เฟอร์นิเจอร์ ทอยส์ อาร์ อัส และอุทยานการเรียนรู้ ทีเค พาร์ค โดยพื้นที่ในส่วนที่เหลือจะทยอยเปิดจนครบภายในปลายปีนี้พร้อมกับเชน เซ็นทรัล ฟู้ดฮอลล์ โซนเอเทรียม (โซนบริเวณหน้าเซน) และโซนไลฟ์สไตล์ไดนิ่งบนชั้น 7 ภายใต้ชื่อ "เฮฟเว่น ออน เซเว่น"
นายกอบชัยกล่าวว่าเซ็นทรัลเวิลด์จะจัดงาน "แกรนด์ เซเลเบรชั่นส์" ขึ้นในเดือนสิงหาคมนี้เพื่อเป็นการฉลองเปิด โดยจะมีการจัดกิจกรรมการตลาดและใช้สื่อโฆษณาอย่างเต็มรูปแบบ โดยได้จัดสรรงบประมาณการตลาดไว้ตลอดปีนี้ประมาณ 300 ล้านบาท
การจัดโซนและการกระจายลูกค้าให้เคลื่อนที่ในแนวตั้งแนวนอน
เซ็นทรัลเวิลด์แบ่งโซนช้อปปิ้งออกเป็น 6 โซน แต่ละโซนได้รับการออกแบบให้มีรูปทรง บรรยากาศ และจุดดึงดูดสายตาที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตน ช่วยสร้างบรรยากาศในการช้อปปิ้งที่หลากหลาย
"ผู้บริโภคยุคใหม่มีไลฟ์สไตล์ที่เปลี่ยนไป พวกเขาต้องการมากกว่าสถานที่ที่รวมเอาร้านค้าหรือร้านอาหารหลายๆ ร้านไว้ด้วยกัน พวกเขากำลังมองหาสถานที่ที่พวกเขาสามารถใช้ชีวิตไม่ว่าจะเป็นการพักผ่อน ช้อปปิ้ง และสันทนาการต่างๆ ไว้ในที่เดียว" นายกอบชัยกล่าว
"ความท้าทายในการสร้างช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่อยู่ที่การสร้างบรรยากาศในการช้อปปิ้งที่สามารถดึงดูดให้ลูกค้าใช้เวลานานขึ้น และเดินอย่างทั่วถึง โดยไม่หลงและสามารถแยกแยะได้ว่าตนเองอยู่ในส่วนใดของศูนย์ เพราะความรู้สึก "หลงทาง" นั้นเป็นหนึ่งในความไม่สะดวกอย่างยิ่งสำหรับนักช้อป ซึ่งจะส่งผลให้ไม่อยากกลับมาอีก การแบ่งโซนช้อปปิ้งออกเป็น 6 โซนจะเป็นการตอบโจทย์ดังกล่าวได้เป็นอย่างดี" นายกอบชัยกล่าว
"เราได้กระจายร้านที่เป็นแม่เหล็กที่ช่วยดึงดูดเข้ามาช้อปปิ้งไว้ทั่วทุกโซนเพื่อมุ่งให้ลูกค้ากระจายตัวได้ทั้งแนวตั้งและแนวนอน โดยในส่วนของพื้นที่ที่มักจะมีลูกค้าใช้บริการเป็นประจำ เช่น ซูเปอร์มาร์เก็ตและร้านอาหาร เราได้จัดให้ไปตั้งอยู่บนชั้น 7 เป็นการดึงลูกค้าสู่ชั้นบนๆ ซึ่งมักจะมีคนเดินน้อยกว่าในชั้นล่างลงมา" นายกอบชัยกล่าว
ความหลากหลาย
นายกอบชัยกล่าวว่า "ด้วยความที่เราเป็นช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ขนาดใหญ่ ทำให้เราสามารถมอบความหลากหลายทั้งในด้านสินค้าและบริการควบคู่ไปกับกิจกรรมพักผ่อนหย่อนใจอื่นๆ"
นายกอบชัยกล่าวว่า "ศูนย์การค้าต่างๆ ที่ตั้งอยู่บนช้อปปิ้งสตรีทของกรุงเทพฯ ต่างมีโพซิชันนิ่งและกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่ชัดเจนเป็นของตนเองต่างจะเสริมซึ่งกันและกันและแม่เหล็กที่แรงขึ้นในการดึงดูดลูกค้า" เขากล่าวว่าโพสิชันนิ่งของเซ็นทรัลเวิลด์ คือ "ที่ที่คุณสามารถช้อปได้จริง - นั่นหมายถึงที่คุณสามารถดูผลิตภัณฑ์ที่คุณฝันอยากได้ และที่ที่คุณสามารถดูผลิตภัณฑ์ที่คุณมีกำลังซื้อจริง"
แสงธรรมชาติ
นายกอบชัยกล่าวว่า "ธรรมชาติของมนุษย์ต้องการอยู่ในแสงธรรมชาติ ซึ่งจะช่วยเพิ่มความรู้สึกโปร่งโล่งสบาย ธรรมชาติดังกล่าวมีอิทธิพลต่องานออกแบบที่อยู่อาศัย รวมถึงช้อปปิ้งคอมเพล็กซ์ เซ็นทรัลเวิลด์ได้เจาะช่องแสง (skylight) บนเพดานชั้นบนสุด และเจาะช่องเปิดระหว่างชั้น (open well) ให้แสงธรรมชาติส่องผ่านลงสู่พื้นที่ส่วนกลาง สร้างความโปร่งโล่งสบายเมื่อเดินช้อปปิ้ง ขณะเดียวกันช่วยให้ลูกค้าสามารถมองเห็นร้านค้าและกิจกรรมที่เกิดขึ้นระหว่างชั้น นอกจากนี้ยังได้ออกแบบให้รูปทรงของช่องเปิดระหว่างชั้นมีรูปร่างที่แตกต่างกันไปในแต่ละโซนเพื่อให้ลูกค้าสามารถจดจำได้ง่าย
นอกจากนี้เซ็นทรัลเวิลด์ยังได้จำลองคอนเซ็ปต์ช้อปปิ้งสตรีทที่ประสบความสำเร็จเช่น ออกซ์ฟอร์ด สตรีทในอังกฤษ โดยการวาง layout ร้านค้าให้ลูกค้าความรู้สึกเหมือนเดินช้อปปิ้งอยู่ริมถนน และสามารถมองเห็นหน้าร้านได้จำนวนมากในระยะสายตา สร้างความรู้สึกตื่นตาตื่นใจในการเดินช้อปปิ้ง และต้องการเดินช้อปปิ้งต่อ คอนเซ็ปต์นี้จะเด่นชัดในโซนอีเดนซึ่งจะมีร้านค้าที่มีร้านสูงถึง 6-8 เมตร ซึ่งสูงที่สุดในไทย" นายกอบชัยกล่าว
จุดเด่น
โซนฟอรั่ม เป็นศูนย์รวมของร้านค้าไลฟ์สไตล์ชั้นนำ นับตั้งแต่ร้านขายของตกแต่งบ้านไปจนถึงร้านเสื้อผ้าสไตล์ฮิป รวมทั้งบีทูเอสที่ขนาดใหญ่ที่มีถึง 3 ชั้น โดยทางเซ็นทรัลเวิลด์มีแผนที่จะผลักดันให้โซนฟอรั่มเป็นศูนย์กลางการจัดงานแฟชั่นและเปิดตัวสินค้าชั้นนำทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ โดดเด่นด้วยเวทีไฮโดรลิคมาตรฐานเวทีแฟชั่นระดับโลกและราวแสง LED ตลอดแนวระเบียงที่สามารถปรับเปลี่ยนสีสันให้เข้ากับกิจกรรมที่แสดงอยู่บนเวทีในขณะนั้น
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมติดต่อ
บริษัท บางกอก พลับบลิค รีเลชั่นส์ จำกัด
อนัญญา โศภิษฐกมล (ต่อ 110) หรือ ปานตา พูนทรัพย์มณี (ต่อ 116)
โทร. 02 664 9500 แฟกซ์ 02 664 9515
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net