ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 10 เผยเน้นฟื้นความเชื่อมั่น เพิ่มความน่าสนใจ

ศุกร์ ๐๒ มิถุนายน ๒๐๐๖ ๑๗:๓๗
กรุงเทพฯ--2 มิ.ย.--ตลาดหลักทรัพย์
ผู้จัดการตลาดหลักทรัพย์ฯ เผยจะมุ่งเน้นทำงานเพื่อผลักดันภารกิจหลักของตลาดหลักทรัพย์ฯ พร้อมสานต่องานแผนแม่บทตลาดทุนไทย โดยจะเข้าพบหารือทุกหน่วยงาน และนัดหารือกันทุกไตรมาส เพื่อร่วมกันแก้ไขอุปสรรค เผยแผนระยะสั้น ต้องเร่งฟื้นความเชื่อมั่นดึงความน่าสนใจทั้งบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุน เน้นเข้าหาบริษัทคุณภาพและขนาดใหญ่ ทำงานประสานกับธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่และสภาอุตสาหกรรมฯ ชี้ประโยชน์ของการระดมทุนผ่านตลาดหลักทรัพย์ฯ ยุคดอกเบี้ยปรับตัวสูง ในขณะเดียวกันจะผลักดันให้มีเครื่องมือใหม่สำหรับผู้ลงทุนภายในสิ้นปี ทั้งการออกตราสารใหม่ อีทีเอฟ ยืนยันไม่ทิ้งแผนระยะยาวด้านการวางรากฐานความรู้ด้านการเงินและการลงทุนผ่านสถาบันการศึกษาและเครือข่าย พร้อมการส่งเสริมกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคม
นางภัทรียา เบญจพลชัย กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เปิดเผยในโอกาสเข้ารับตำแหน่งกรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์ฯ คนที่ 10 ว่า แนวนโยบายในการทำงานเพื่อพัฒนาตลาดหลักทรัพย์ฯ นั้น จะเน้นการทำงานเพื่อผลักดันให้การทำงานตามแผนแม่บทการพัฒนาตลาดทุนไทย ฉบับที่ 2 บรรลุเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยจะทำงานร่วมกับสภาธุรกิจตลาดทุนไทย รวมไปถึงหน่วยงานภาครัฐและเอกชนทั้งหมดอย่างใกล้ชิด
นางภัทรียากล่าวว่า “เพื่อให้การประสานงานกับหน่วยงานต่าง ๆ เป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีแนวทางการทำงานที่สอดคล้องกัน ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเข้าพบหน่วยงานต่าง ๆ ในสภาธุรกิจตลาดทุนไทย และหน่วยงานที่จะสนับสนุนการทำงานของแผนแม่บทตลาดทุนไทยตั้งแต่เดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป และจะมีการประสานเพื่อนำความคืบหน้าของแผนงานในด้านต่าง ๆ มาหารือกันอย่างน้อยไตรมาสละ 1 ครั้ง โดยขณะนี้ ถือได้ว่าการดำเนินงานตามแผนแม่บทตลาดทุนไทยฉบับที่ 2 อยู่ในระยะเริ่มต้น หากมีอุปสรรคในการดำเนินงานใด ๆ ก็จะเร่งแก้ไขให้ทันการณ์”
สำหรับแผนงานของตลาดหลักทรัพย์ฯ ด้านการเพิ่มอุปสงค์ และด้านอุปทาน ซึ่งถือเป็นแผนงานหลักที่จะผลักดันให้บรรลุผลสำเร็จทั้งด้านการเพิ่มบริษัทจดทะเบียนคุณภาพ และการส่งเสริมความรู้แก่ผู้ลงทุน
“ต้องยอมรับว่าขณะนี้มีปัจจัยหลายประการที่ทั้งบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุนให้ความสนใจตลาดหลักทรัพย์ฯ น้อยลง ดังนั้น เรื่องที่จะต้องเร่งดำเนินการในขณะนี้ คือการสร้างความเชื่อมั่นให้กลับคืนมา ด้วยการเพิ่มจำนวนสินค้าในตลาดหลักทรัพย์ฯ โดยเน้นบริษัทที่มีคุณภาพและมีขนาดใหญ่ พร้อมทั้ง กระตุ้นให้ผู้ลงทุนหันมาให้ความสนใจในการลงทุนผ่านตราสารประเภทต่าง ๆ โดยเพิ่มช่องทางและเครื่องมือที่จะเข้าถึงผู้ลงทุนได้มากขึ้น” กรรมการและผู้จัดการกล่าว
นางภัทรียากล่าวต่อว่า การที่จะเข้าถึงบริษัทขนาดใหญ่และมีคุณภาพนั้น ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเข้าพบบริษัทเป้าหมาย ที่เป็นลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ และสมาชิกสภาอุตสาหกรรมฯ สภาหอการค้าไทย โดยจะจัดตั้งทีมงานที่จะให้คำปรึกษาเรื่องการจัดโครงสร้างเงินทุนและการเตรียมความพร้อมในการเข้าจดทะเบียนให้กับบริษัทพร้อมกันด้วย
“ในภาวะที่อัตราดอกเบี้ยปรับตัวขึ้นนี้ นับว่าเป็นเรื่องที่ส่งผลกระทบต่อการหาแหล่งเงินทุนของธุรกิจต่าง ๆ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะใช้โอกาสนี้ในเข้าถึงบริษัทกลุ่มเป้าหมายที่มีความต้องการเพิ่มขนาดเงินลงทุนให้มีความแข็งแรงเพื่อการขยายธุรกิจในอนาคต
การเพิ่มจำนวนบริษัทจดทะเบียนดังกล่าว จะเป็นส่วนสำคัญที่จะสร้างความเชื่อมั่นให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ ในบทบาทของการเป็นแหล่งระดมทุน ซึ่งจะทำให้ตลาดหลักทรัพย์ฯ มีความน่าสนใจและได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนตามมา”
นอกจากนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเพิ่มคุณภาพของบริษัทจดทะเบียนปัจจุบัน โดยทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทจดทะเบียน เพื่อทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียนเรื่องการเปิดเผยข้อมูลที่มีคุณภาพ พร้อม ๆ กับการส่งเสริมด้านนักลงทุนสัมพันธ์ให้เป็นตัวเชื่อมบริษัทจดทะเบียนไปยังผู้ลงทุนเพื่อให้ข้อมูลต่าง ๆ ที่ผู้ลงทุนต้องการได้รับการเผยแพร่ไปอย่างมีประสิทธิภาพ
สำหรับการเพิ่มสินค้าใหม่ ได้มีแผนงานที่จะผลักดันให้มีตราสารใหม่คือ อีทีเอฟ (ETF: Exchange Traded fund) ที่อ้างอิงกับกลุ่มหลักทรัพย์จดทะเบียน เพื่อให้เป็นเครื่องมือใหม่ที่จะเพิ่มสภาพคล่องในตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้
“ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะเร่งส่งเสริมให้ผู้ลงทุนหันมาให้ความสนใจในสินค้าที่มีอยู่ในปัจจุบันในตลาดหลักทรัพย์ฯ ซึ่งเป็น Integrated Market ที่มีพร้อมทั้งตราสารทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ และกองทุนรวม โดยแต่ละตราสารได้มีกลยุทธ์ที่จะส่งเสริมให้มีการเข้ามาลงทุนมากขึ้นแล้ว และเชื่อมั่นว่าในปลายปีนี้ ตราสารหนี้ และตราสารอนุพันธ์ จะได้รับความสนใจจากผู้ลงทุนมากขึ้น” นางภัทรียากล่าว
พร้อมกันนี้ จะได้เร่งผลักดันให้มีเครื่องมือที่จะอำนวยความสะดวกแก่ผู้ลงทุนภายในปลายปีนี้ อาทิ IPO online ที่มีการเตรียมงานมาระยะหนึ่งแล้ว พร้อม ๆ กับการเร่งผลักดันเรื่องการยืมและให้ยืมหลักทรัพย์ (SBL: Securities Borrowing and Lending) ให้สามารถดำเนินการได้ในไตรมาส 3 ปีนี้ เพื่อที่จะเป็นอีกเครื่องมือหนึ่งที่จะช่วยส่งเสริมสภาพคล่องให้มีปริมาณการหมุนเวียนและการซื้อขายหลักทรัพย์ในตลาดมากยิ่งขึ้น
ในด้านการส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวม จะทำงานร่วมกับสมาคมบริษัทจัดการลงทุน เพื่อกระตุ้นให้ผู้มีเงินออมเห็นประโยชน์ของการลงทุนในกองทุนรวมหุ้นระยะยาว (LTF) และกองทุนรวมเพื่อเกษียณอายุ (RMF) ซึ่งจะเป็นโอกาสที่จะขยายฐานผู้ลงทุนได้อย่างมาก โดยขณะนี้ผู้เสียภาษีอากรที่มีเงินออมกว่า 2 ล้านคน อยู่ในสถานะที่จะได้รับสิทธิประโยชน์จากการลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุนดังกล่าวได้
นอกจากนี้ จะร่วมกับสมาคมนักวิเคราะห์เพื่อผลักดันคุณภาพของบทวิเคราะห์ อาทิ การส่งเสริมผลงานด้านการวิเคราะห์หลักทรัพย์ให้มีอย่างต่อเนื่องและนำมาเผยแพร่แก่ผู้ลงทุนอย่างกว้างขวาง การจัดให้มีการจัดอันดับบทวิเคราะห์ พร้อมกันนี้ จะร่วมกับสมาคมบริษัทหลักทรัพย์ดูแลการทำงานของเจ้าหน้าที่การตลาด เพื่อควบคุมคุณภาพให้เป็นที่ยอมรับ และเป็นที่น่าเชื่อถือของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศ
นางภัทรียากล่าวด้วยว่า สำหรับการดูแลเรื่องการกำกับตรวจสอบการซื้อขายหลักทรัพย์ที่มีความผิดปกตินั้น เชื่อมั่นว่าเมื่อได้มีการทำความเข้าใจกับบริษัทจดทะเบียนเกี่ยวกับความสำคัญของการเปิดเผยข้อมูล และการให้ความรู้แก่ผู้ลงทุนในการใช้ข้อมูลของบริษัทจดทะเบียนแล้ว ผู้ลงทุนจะมีความเข้าใจในมาตรการต่าง ๆ ของตลาดหลักทรัพย์ฯ มากขึ้น การใช้มาตรการดังกล่าวมีเป้าหมายที่จะป้องกันความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับผู้ลงทุนในวงกว้าง จึงเชื่อมั่นว่าการดำเนินมาตรการต่าง ๆ ต่อไปจะได้รับความเข้าใจจากทั้งบริษัทจดทะเบียนและผู้ลงทุนมากขึ้น
นอกจากนี้ การทำงานเพื่อเพิ่มคุณภาพของผู้ลงทุน โดยการวางรากฐานความรู้ด้านการเงินและการลงทุน ผ่านเครือข่ายสถาบันการศึกษา ซึ่งจะส่งผลในระยะยาว ยังเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างต่อเนื่อง เพราะจะเป็นการสร้างผู้ที่มีศักยภาพในการลงทุนที่มีคุณภาพอย่างเป็นรูปธรรม พร้อม ๆ กันนี้ ตลาดหลักทรัพย์ฯ จะให้ความสำคัญกับการดำเนินกิจกรรมเพื่อสังคม เพื่อช่วยเหลือผู้ด้อยโอกาสและเยาวชนที่ขาดโอกาสในการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง โดยจะเป็นการทำงานร่วมกับบริษัทจดทะเบียน บริษัทสมาชิก และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อเพิ่มโอกาสในการพัฒนาคุณภาพชีวิตของผู้ที่ยังต้องการความช่วยเหลือแต่ขาดโอกาสอีกเป็นจำนวนมาก
ติดต่อส่วนสื่อมวลชนสัมพันธ์ ฝ่ายสื่อสารองค์กร ลดาวัลย์ กันทวงศ์ โทร. 0-2229 — 2036 / กุลวิดา จินตกะวงส์ โทร. 0-2229 — 2037/
ณัฐพร บุญประภา โทร. 0-2229 — 2049 / วรรษมน เสาวคนธ์เสถียร โทร. 0-2229-2797
สามารถคลิกดูภาพประกอบได้ที่ www.thaipr.net

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๒๑ 60 ปีแห่งความมุ่งมั่น! คาโอ คว้ารางวัลอุตสาหกรรมดีเด่น 2 ประเภทในปี 2567 ชูความสำเร็จด้านสิ่งแวดล้อมและความรับผิดชอบต่อสังคม
๑๗:๒๓ AVATR ก้าวสู่ความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่! ระดมทุนในรอบ Series C ได้มากกว่า 11,000 ล้านหยวน พร้อมก้าวสู่ความเป็นผู้นำในตลาดรถยนต์ไฟฟ้าหรูหราแห่งอนาคต
๑๗:๐๖ Zoom เปิด 10 เทรนด์ ใช้ AI ในการทำงานปี 2568
๑๗:๑๐ เปิดมุมมองอาชีพที่หลากหลายในอุตสาหกรรมกาแฟไทย เจาะลึกบทบาทและแนวทางยกระดับสู่การเติบโตอย่างยั่งยืน
๑๗:๑๔ อนาคตแห่งการเดินทาง: 5 คนขับ AI จากแอปเรียกรถ Maxim
๑๗:๕๕ Well-Being House บ้านชั้นเดียวเอาใจคนวัยเกษียณ
๑๗:๑๖ กทม. แจงเปิดกว้างการแข่งขันโครงการเช่าคอมพิวเตอร์พกพาสำหรับนักเรียน
๑๖:๓๗ รายงาน Ericsson Mobility Report ฉบับล่าสุด เผยผู้เริ่มให้บริการ 5G กลุ่มแรกกำลังมุ่งสู่โมเดลธุรกิจที่เน้นประสิทธิภาพ
๑๗:๒๕ เมดีซ กรุ๊ป ร่วมสมทบทุนสนับสนุนมูลนิธิโรงพยาบาลสมเด็จพระยุพราช ช่วยผู้ป่วยในชนบท ถิ่นทุรกันดารที่ห่างไกล
๑๖:๔๔ CNN จับตา นวัตกรรมล่าสุดจากนักวิจัยไทย พลิกโฉมการตรวจคัดกรองความเครียดด้วย เหงื่อ