กรุงเทพฯ--16 ส.ค.--โกลบอล คอนเน็คชั่นส์
-ให้อัตราผลตอบแทนสำหรับ 6 เดือนแรกที่ 3.7% หรือ 7.4% (ต่อปี) ชนะเงินฝาก
โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ ตอกย้ำภาพความเป็นผู้นำด้าน stock dividendไม่ทำผู้ถือหุ้นผิดหวัง ประกาศจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 7.41%(ต่อปี) ซึ่งสูงกว่าดอกเบี้ยเงินฝากในปัจจุบัน ผู้บริหารคาดครึ่งปีหลังธุรกิจยังสดใสต่อเนื่อง เพราะสามารถบริหารจัดการความเสี่ยงได้เข้าสู่ระบบอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งทางด้านการกำกับดูแลในส่วนของอัตราแลกเปลี่ยน, ความผันผวนของราคาสินค้า, ลูกหนี้การค้า, อัตราดอกเบี้ย ทำให้มั่นใจสิ้นปีนี้มีอัตราการเติบโต 8-10% ตามที่ได้ตั้งเป้าเอาไว้
นายสมชาย คุลีเมฆิน กรรมการผู้จัดการ บริษัท โกลบอล คอนเน็คชั่นส์ จำกัด (มหาชน) (GC) เปิดเผยว่าที่ประชุมคณะกรรมการ ครั้งที่ 3/2549 ได้มีมติอนุมัติให้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลประจำปี 2549 สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน (1 มกราคม - 30 มิถุนายน 2549) ในอัตราหุ้นละ 0.10บาท (สิบสตางค์) โดยกำหนดปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้นเพื่อสิทธิในการรับเงินปันผลในวันที่ 25 สิงหาคม 2549 เวลา 12.00 น. และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่8 กันยายน 2549
"นอกเหนือจาก นโยบายการจ่ายเงินปันผลที่ไม่ต่ำกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิหลังหักภาษี จะเห็นได้ว่าบริษัทฯมีการจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ โดยก่อนหน้านี้ได้จ่ายเงินปันผลสำหรับผลประกอบการของปี 2548 ที่ 0.14 บาท/หุ้น ในเดือน เมษายน 2549 คิดเป็น Dividend payout ratio ที่ 76.7% และคิดเป็น Dividend yield ที่ 6.09%(จากราคาหุ้น ณ สิ้นงวดที่ 2.30 บาท) และสำหรับในงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทฯจะจ่ายเงินปันผลระหว่างกาล 0.10 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend payout ratio ที่ 61.44% และคิดเป็น Dividend yield ที่ 7.41%(ต่อปี) (จากราคาหุ้น ณ สิ้นงวดที่ 2.7บาท) เพื่อสร้างความมั่นใจต่อนักลงทุน ในด้านการเป็นหุ้นที่ให้ปันผลที่ดีต่อนักลงทุน"
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 2/2549 บริษัทมีกำไรสุทธิ 16.14 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.08 บาท เพิ่มขึ้น 330.6% จากไตรมาส2/2548 ที่มีกำไรสุทธิ 3.74 ล้านบาท มีกำไรต่อหุ้น 0.02 บาท ส่วนงวด 6 เดือนปี 2549 มีกำไรสุทธิ 32.55 ล้านบาทกำไรต่อหุ้น 0.16 บาท เพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 18.05 ล้านบาท กำไรต่อหุ้น 0.12 บาท เพิ่มขึ้น 80.33%
"ไตรมาส 2/2549 กำไรสุทธิของ GC เพิ่มขึ้น 330.6% จากไตรมาส 2/2548 ส่วนใหญ่เป็นผลมาจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นกำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานบางรายการลดลงโดยยอดขายที่เพิ่มขึ้นเป็นผลมาจากราคาสินค้าในหน่วยธุรกิจ Commodity Polymer ปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมันในตลาดโลกและมียอดขายเพิ่มขึ้นจากสินค้าใหม่ในหน่วยธุรกิจ Specialty and Engineering Polymer คือ ยางสังเคราะห์ ซึ่งได้ outsource มาจากผู้ผลิตในปลายปี 2548 และเริ่มมียอดขายตั้งแต่เดือนพฤศจิกายน 2548 เป็นต้นมา”
นอกเหนือจากรายได้จากการขายที่เพิ่มสูงขึ้นราว 10.6% จากปีก่อนแล้ว บริษัทได้เพิ่มประสิทธิภาพในด้านการจัดการความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยน, การขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ให้marginที่สูงขึ้น, การได้รับลดหย่อนภาษีเงินได้ จาก 30%ไปเป็น25% , และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการระดมทุนในตลาดหลัก
ทรัพย์ ซึ่งทำให้บริษัทฯใช้เงินกู้ที่ลดลง จากเดิม D/E ratio ที่ 4.5:1 ปัจจุบัน เหลือเพียง 2.06:1 จึงทำให้บริษัทฯมีผลกำไรสุทธิที่เพิ่มสูงขึ้น
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในครึ่งปีหลังบริษัทวางแผนให้ สินค้าในกลุ่ม 1 (BU1: Commodity) ให้การเติบโตเป็นไปแบบธรรมชาติ และจะเพิ่มการจัดการด้านความเสี่ยงให้มีประสิทธิภาพที่สูงขึ้น ส่วนสินค้ากลุ่ม 2และ3 (BU2:Specialty and Engineering Polymer, BU3 :Specialty Chemical) ซึ่งให้marginสูงกว่า จะทำการขยายฐานลูกค้าเพิ่มขึ้น ทั้งใน Market Segment เดิม และ Segment ใหม่ๆเช่นในกลุ่มยางสังเคราะห์ โดยเน้นการตลาดที่จะเข้าร่วมพัฒนาในผลิตภัณฑ์กับลูกค้า/ผู้แปรรูป เพื่อให้ได้ตรงกับความต้องการของลูกค้าโดยตรง และสร้างพันธมิตรทางการค้าที่ยั่งยืนให้กับบริษัทฯ
"6 เดือนแรกของปี 2549 บริษัทฯได้ขยายฐานลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้นประมาณ 120 ราย จากฐานลูกค้าเดิมของปี 2548 ซึ่งนอกจากเป็นการขยายฐานลูกค้าในกลุ่มผู้แปรรูปพลาสติกแล้ว ยังมีเปิดตลาดไปยังลูกค้าใหม่ในกลุ่มยางสังเคราะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มที่มีอัตราการเติบโตที่สูงและให้ผลตอบแทนที่ดี"
นายสมชายกล่าวต่อในช่วงท้ายว่า GC ได้ตั้งเป้าหมายอัตราการเติบโตของปี 2549 ประมาณ 8-10% จากปี 2548 แต่จะไม่เน้นยอดขายเพียงอย่างเดียว โดยจะให้ความสำคัญในเรื่องปัจจัยเสี่ยงและกำไรให้ดีขึ้น เนื่องจากบริษัทได้ดำเนินการเกี่ยวกับการการบริหารจัดการความเสี่ยงได้เข้าสู่ระบบอย่างสมบูรณ์แล้ว ทั้งทางด้านการกำกับดูแลในเรื่องอัตราแลกเปลี่ยน, ความผันผวนของราคาสินค้ากลุ่ม1 (Commodity Polymer), ลูกหนี้การค้า, อัตราดอกเบี้ย ดังนั้นหากไม่มีผลกระทบด้านลบทุกอย่าง บริษัทฯจะสามารถบรรลุเป้าหมายได้ดังเช่นในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้
ส่วนทิศทางของภาวะเศรษฐกิจในปีนี้ แม้ภาพโดยรวมคาดว่าจะยังคงชะลอตัว แต่กลุ่มลูกค้าที่บริษัทฯดูแลอยู่ยังคงรักษาระดับอัตราการเติบโตได้ดี ดังนั้นคาดว่าทิศทางของราคาปิโตรเคมี น่าจะยังคงอยู่ในระดับสูงตามภาวะราคาน้ำมันจนถึงไตรมาส 4 ปีนี้ แต่คาดว่าคงจะไม่สูงไปกว่าในปัจจุบัน
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติม :
คุณณัฐพงษ์ ในแกล้ว 01-4010226