นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า ปี 2563 อุตสาหกรรมธุรกิจอาหารทั่วโลกเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยจากวิกฤตโควิด-19 ทำให้ผู้คนจำเป็นต้องอาศัยอยู่บ้าน แทนการเดินทางไปทำงานที่บริษัท เพื่อหลีกเลี่ยงปัญหาการแพร่ระบาดของเชื้อโควิด-19 จึงเกิดการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการซื้ออาหารต่อครั้งในปริมาณที่เยอะขึ้น ขณะที่คนไทยเริ่มเห็นความสำคัญของบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร รวมถึงผู้ประกอบการอาหารรายย่อยในประเทศ (เอสเอ็มอี) เริ่มตระหนักและมองหานวัตกรรมด้านบรรจุภัณฑ์มากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ซึ่งทั้งหมดส่งผลบวกต่อยอดขายของบริษัทฯ ในปีที่ผ่านมา ปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว ขณะที่อุตสาหกรรมอาหารภายในประเทศโดยรวม มีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 20-30%
สถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ที่เกิดขึ้นและต่อเนื่องมาในปีนี้ ส่งผลต่อการตื่นตัวของผู้บริโภคในประเทศและทั่วโลก มีความต้องการอาหารที่มีความปลอดภัยสูง (Food Safety) มากขึ้น เพื่อให้สอดรับกับความต้องการที่เปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นจนสร้างการใช้ชีวิตวิถีใหม่ ในปีนี้บริษัทเตรียมนำระบบอัตโนมัติ (Automation) เข้ามาใช้ และจะค่อยๆ ปรับเพิ่มขึ้นในอนาคต เพื่อลดการสัมผัส ลดการปนเปื้อนที่อาจเกิดขึ้นภายในโรงงาน และยังรองรับปัญหาในอนาคตหากเกิดวิกฤตโรคติดต่อใหม่ๆ ที่อาจมีกระทบต่อแรงงานขาดหายไป และอาจมีผลกระทบต่อธุรกิจที่หยุดชะงักตามไปด้วยเช่นกัน
นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า อีกหนึ่งเทรนด์ที่ผู้บริโภคจะให้ความสำคัญมากขึ้นในปี 2564 คือบรรจุภัณฑ์ที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำได้ สามารถย่อยสลายเองได้ ฯลฯ ดังนั้นเอกา โกลบอล จึงให้ความสำคัญกับการเป็นองค์กรแห่งนวัตกรรม และเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) อย่างสมบูรณ์ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนให้กับองค์กร (Sustainable Growth) พร้อมกับให้ความสำคัญด้านการพัฒนานวัตกรรม และการวิจัย (R&D) เพื่อคิดค้นและพัฒนาบรรจุภัณฑ์นวัตกรรมใหม่ที่สามารถนำมาหมุนเวียนเป็นวงจรต่อเนื่องโดยไม่มีของเสีย ตลอดจนผลักดันบริษัทฯ ให้ก้าวสู่การเป็นองค์กรแห่งการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติและสร้างความสมดุลในการดึงทรัพยากรธรรมชาติมาใช้งานใหม่
"เดิมทีบรรจุภัณฑ์ของเอกา โกลบอล สามารถรีไซเคิลได้ 100% แล้ว แต่บริษัทฯ ต้องการเพิ่มระดับงานวิจัยด้านสิ่งแวดล้อมให้เข้มข้นมากขึ้น เช่น บรรจุภัณฑ์ที่ผลิตจากวัตถุดิบธรรมชาติ เช่น จากพืชแทนการใช้วัตถุดิบที่ผลิตจากน้ำมัน เพราะธุรกิจของเอกา โกลบอล ไม่สามารถหยุดนิ่งได้ การที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนได้เสมอ เราจำเป็นต้องมีความยืดหยุ่น ต้องเข้าใจตลาด ต้องมองอนาคตให้ออก และใช้ R&D เข้ามาช่วย เอกา โกลบอล ต้องการเป็นองค์กรของคนรุ่นใหม่ เป็นองค์กรแห่งนวัตกรรมของคนทั่วโลก ที่ก้าวนำเทรนด์ใหม่ๆ เสมอ"
อย่างไรก็ดี เอกา โกลบอล ยังเดินหน้าสู่การเติบโตอย่างยั่งยืนไปพร้อมกับเอสเอ็มอีไทย จากการนำโมเดลในประเทศอินเดียที่บรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารของเอกา โกลบอล ได้ไปช่วยให้ผู้ประกอบการอาหารรายเล็กของอินเดีย กลายเป็นบริษัทขนาดใหญ่ที่มีสินค้าส่งไปขายในระดับโลกได้ ซึ่งมั่นใจว่าโมเดลนี้จะเกิดผลสำเร็จในประเทศไทยได้เช่นกัน โดยปีที่ผ่านมาบริษัทฯ ได้นำร่องโครงการทดสอบการจัดเก็บอาหารกับบรรจุภัณฑ์อาหารวิถีใหม่ให้กับเอสเอ็มอี ประเภทอาหารและขนมหวานในกรุงเทพฯ และปริมณฑลไปแล้ว ซึ่งประสบความสำเร็จ และได้รับความสนใจล้นหลาม ในปี 2564 จึงเตรียมขยายการทำงานไปสู่ภูมิภาค เพื่อให้เอสเอ็มอีไทยทั่วประเทศได้เข้าถึงเทคโนโลยีบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารของเอกา โกลบอล และนวัตกรรมบรรจุแบบดัดแปรบรรยากาศ Modified Atmosphere Packaging Process หรือ MAP รวมถึงยังมองว่าในอนาคตมีโอกาสขยายผลไปสู่ตลาดเอสเอ็มอีในประเทศเพื่อนบ้าน และในภูมิภาคเอเชียต่อไปได้อีก
"โควิด-19 ทำให้เทรนด์ธุรกิจอาหารเปลี่ยนไปในเวลาที่รวดเร็วขึ้น ผู้ประกอบการทั้งรายใหญ่และรายเล็ก จำเป็นต้องมองหาช่องทางขายใหม่ๆ มองตลาดที่กว้างขึ้น จากเดิมที่เน้นขายแค่หน้าร้าน แต่วันนี้เริ่มมีการมองตลาดต่างจังหวัด ตลาดภูมิภาค หรือแม้แต่โอกาสขยายตลาดไปต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มองเห็นโอกาสขยายธุรกิจสู่ตลาดเอสเอ็มอีที่มีแนวโน้มเติบโตเพิ่มขึ้นตามเทรนด์ตลาดที่เปลี่ยนไป ควบคู่กับลูกค้าเดิมที่เป็นบริษัทใหญ่ ซึ่งที่มีการเติบโตอยู่แล้ว"
สำหรับผู้ประกอบการเอสเอ็มอี ที่สนใจนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร และนวัตกรรม MAP สามารถเข้ามาดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.eka-global.com หรือติดต่อเพื่อเข้าอบรมที่ห้องแล็บเอกา โกลบอล ฟรีไม่มีค่าใช้จ่าย ที่เบอร์โทรศัพท์ 038-574-187
ที่มา: เมคอะเว็ลท์ คอนซัลติ้ง