นายวีระพันธ์ จักรไพศาล กรรมการผู้จัดการ บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK ผู้เชี่ยวชาญในธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ทั้งประเภทแนวราบและแนวสูง ที่ประสบความสำเร็จมายาวนานหลายโครงการ เปิดเผยว่า บริษัทฯ มีความมั่นใจในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก ในวันที่ 18 มกราคม 2564 นี้ เชื่อว่าจะได้รับการตอบรับที่ดีจากนักลงทุน และพร้อมเดินหน้าขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่องในอนาคต ด้วยความพร้อมทางด้านบุคลากร และระบบการทำงาน ในการพัฒนาโครงการที่มีคุณภาพ ควบคู่ความสามารถในการควบคุมต้นทุนที่ดี รักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้อยู่ในระดับ 50% ซึ่งถือเป็นระดับสูงเมื่อเทียบกับอุตสาหกรรม เงินที่ได้จากการระดมทุนครั้งนี้ จะนำไปใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการ และ/หรือ การลงทุนในที่ดินเพื่อพัฒนาโครงการ รวมทั้ง นำไปใช้ชำระคืนหนี้ธนาคาร และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในการดำเนินธุรกิจและการดำเนินการอื่นใดเพื่อให้เกิดผลประโยชน์สูงสุดต่อบริษัท เพื่อก้าวเป็นผู้พัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ชั้นนำของประเทศที่สามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างครบวงจร
ปัจจุบัน JAK มีโครงการที่อยู่ระหว่างเปิดขาย จำนวน 3 โครงการ อีกทั้ง มีโครงการในอนาคตที่มีแผนพัฒนารวมมูลค่าราว 1,422 ล้านบาท ภายหลังการเข้ามาระดมทุน จึงมองว่าจะสนับสนุนฐานะการเงินที่มั่นคง และโอกาสในการสยายปีกโตได้อย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ มีที่ดินในมือรอการพัฒนาโครงการในอนาคตที่บริษัทเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ที่ดินแล้ว จำนวน 2 แปลง ได้แก่ ที่ดินอำเภอมวกเหล็ก จังหวัดสระบุรี เนื้อที่ 29 ไร่ และที่ดินตั้งอยู่ที่ซอยนวลจันทร์ เขตบึงกุ่ม กรุงเทพฯ เนื้อที่ 2 ไร่เศษ ซึ่งเป็นที่ดินตั้งบนทำเลที่มีศักยภาพโดย JAK มีที่ดินเพียงพอสำหรับการพัฒนาในระยะ 3-5 ปีข้างหน้า
นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังได้รับอานิสงส์จากรัฐบาลประกาศลดค่าธรรมเนียมการโอนจากเดิม 2% เหลือ 0.01% และลดค่าธรรมเนียมการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์จากเดิม 1 % เหลือ 0.01 % ต่อเนื่องในปี 2564 สำหรับการซื้อขายที่อยู่อาศัยที่ดินพร้อมอาคารหรือห้องชุด ราคาไม่เกิน 3 ล้านบาทต่อหน่วย และการจดทะเบียนการโอนและการจดจำนองอสังหาริมทรัพย์ซึ่งเป็นที่อยู่อาศัยต้องดำเนินการในคราวเดียวกัน ช่วยลดภาระให้ผู้ซื้อ และส่งผลดีต่อธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะโครงการของบริษัทฯ เป็นที่ต้องการของลูกค้า และราคาในระดับที่เข้าถึงได้
นายชนะชัย จุลจิราภรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ในฐานะผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายหุ้นสามัญเพิ่มทุน ของบริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK เปิดเผยถึงความเชื่อมั่นหุ้น JAK ในการเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) วันแรก มั่นใจนักลงทุนจะให้ความสนใจและการตอบรับที่ดี หลังจากปิดการเสนอขายหุ้น IPO ทั้งหมด 82,709,900 หุ้น ในช่วงวันที่ 8 มกราคม และวันที่ 11-12 มกราคมที่ผ่านมา ได้รับความสนใจจากนักลงทุนอย่างล้นหลาม สะท้อนถึงความเชื่อมั่นในธุรกิจ และการกำหนดราคาขายที่ 1.45 บาท/หุ้น เป็นราคาที่สร้างแรงจูงใจจากราคาเหมาะสมที่โบรกฯ ประเมินเอาไว้อยู่ในช่วง 2.30-2.70 บาท
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด ระบุ JAK พร้อมเติบโตอย่างแข็งแกร่งในอนาคต โดยแนวโน้มผลประกอบการ ประมาณการกำไรสุทธิในช่วงปี 2563-2565 เท่ากับ 16.0 , 87.6 และ 114.2 ล้านบาท ตามลำดับ คิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ย 167.6% CAGR เนื่องจากคาดการณ์รายได้ในช่วง 3 ปีข้างหน้าคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยที่ 93.1% CAGR เนื่องมาจากฐานรายได้และกำไรที่ต่ำในปี 2563 และการรับรู้รายได้จากเงินลงทุนในบริษัทร่วมเพิ่มมากขึ้น และมีแนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นในปี 2563F - 2565F คงที่ เฉลี่ยที่ 50.4% แม้ว่าการเปิดโครงการเพิ่มอาจส่งผลกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้น แต่สำหรับโครงการเฟิร์น - ทางหลวง สาย 7 (มอเตอร์เวย์) จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นได้ดีกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต
ขณะที่ บริษัทฯ ยังมีจุดเด่นภายใต้ภาวะการแข่งขันที่สูง อัตรากำไรขั้นต้นที่บริษัทสามารถทำได้สูงกว่าตลาด จากการควบคุมค่าใช้จ่ายจากผู้รับเหมาทั้งจากราคาวัสดุก่อสร้างและการใช้เทคโนโลยีการก่อสร้าง ด้านการกำหนดราคาที่ลูกค้าพึงพอใจ และมีความเหมาะสม ประเมินมูลค่าที่เหมาะสมสิ้นปี 2564 อยู่ที 2.70 บาท อ้างอิง PE ที่ 9.86 เท่า จากค่า PE เฉลี่ยรายสัปดาห์ของกลุ่มอุตสาหกรรมย้อนหลัง 5 ปี
ด้านนายวรชาติ ทวยเจริญ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟินเน็กซ์ แอ๊ดไวเซอรี่ จำกัด ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน บริษัท จักรไพศาล เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ JAK กล่าวเสริมถึง JAK คาดจะเป็นหุ้นไอพีโอที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุน ด้วยจุดเด่นโครงการของบริษัทฯ เป็นที่ยอมรับทั้งในด้านคุณภาพและการบริการที่ดี ผู้บริหารอยู่ในพื้นที่จริง มีประสบการณ์ และความเชี่ยวชาญ พัฒนาโครงการประสบความสำเร็จมาหลายโครงการ และมีเป้าหมายสร้างการเติบโตให้ จักรไพศาล เอสเตท เป็นผู้นำทางด้านที่อยู่อาศัยหลังแรกของกลุ่มคนระดับกลางถึงล่างในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปริมณฑล จังหวัดสระบุรี และภาคตะวันออก ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีอัตราการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ
ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นมีการเติบโตเฉลี่ยสูงถึงกว่า 50% ต่อปีในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา (ปี 2560 - 2562) ถือว่ามีความน่าสนใจ จากความสำเร็จในการเดินหน้าขยายโครงการและการรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือนแรกของปี 2563 บริษัทฯ มีรายได้รวม 69.93 ล้านบาท กำไรสุทธิ 12.64 ล้านบาท
ที่มา: ไออาร์ พลัส