นายเอนก พนาอภิชน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินทัช โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า "จากผลการดำเนินงานในปี 2563 อินทัช มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 11,048 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปี 2562 ที่ 11,083 ล้านบาท เป็นผลมาจากการรับรู้ผลกำไรที่ลดลงของเอไอเอส เนื่องมาจากสภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวจากผลกระทบของโควิด 19 และการแข่งขันเพื่อแย่งชิงลูกค้าที่สูงขึ้น รวมทั้งรายได้จากกลุ่มนักท่องเที่ยวที่ลดลง ส่วนไทยคมมีผลการดำเนินงานที่ดีขึ้น พลิกจากการรับรู้ผลขาดทุนมาเป็นกำไร 211 ล้านบาท เนื่องจากไทยคมมีบันทึกการด้อยค่าทรัพย์สินดาวเทียม และรับรู้รายได้จากเงินชดเชย ทั้งนี้ อินทัชยังคงนโยบายจ่ายเงินปันผลส่วนใหญ่ที่บริษัทได้รับจากบริษัทร่วมและบริษัทย่อยหลังหักค่าใช้จ่าย โดยกำหนดจ่ายปันผลครึ่งปีหลังหุ้นละ 1.35 บาท ขึ้นเครื่องหมาย XD วันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2564 และจ่ายเงินปันผลในวันที่ 22 เมษายน 2564 ทำให้ในปี 2563 บริษัทจ่ายเงินปันผลรวมทั้งสิ้นในอัตรา 2.50 บาทต่อหุ้น"
เอไอเอส-ถือครองคลื่นความถี่ 4G และ 5G ครอบคลุมมากที่สุดในไทย รองรับการใช้งานของลูกค้าในยุคดิจิทัลไลฟ์
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด 19 ส่งผลให้เศรษฐกิจชะลอตัว ผู้บริโภคใช้จ่ายลดลงมีการแข่งขันทางการตลาดเพื่อแย่งชิงลูกค้าที่สูงขึ้นส่งผลให้เอไอเอสมีผลกำไรสุทธิในปี 2563 ที่ไม่รวมผลกระทบจากมาตรฐานการรายงานทางการเงินฉบับที่ 16 เรื่อง สัญญาเช่า (TFRS16) อยู่ที่ 28,423 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 8.9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากรายได้จากการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ลดลงร้อยละ 6.5 เพราะผู้ใช้บริการลดลงมาอยู่ที่ 41.4 ล้านราย แต่ในทางกลับกันรายได้จากการให้บริการอินเทอร์เน็ตบ้านมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นร้อยละ 22 เพราะมีการปรับตัวในการใช้ชีวิตที่ต้องเรียน และทำงานที่บ้านมากขึ้น ส่งผลให้มีผู้ใช้บริการใหม่เพิ่มขึ้น 3 แสนราย รวมจำนวนผู้ใช้บริการ ณ สิ้นปี 2563 ประมาณ 1.3 ล้านราย
ในส่วนของรายได้อื่นๆ ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากการใช้งานด้าน Cloud และ ICT ของลูกค้าองค์กรที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ต้นทุนในการดำเนินงานใกล้เคียงกับปี 2562 เนื่องจากยังมีการลงทุนโครงข่าย 4G และ 5G ในปี 2563 ที่ 35,000 ล้านบาท อย่างต่อเนื่องเพื่อให้ครอบคลุมการใช้งานทั่วประเทศในฐานะผู้ให้บริการดิจิทัลไลฟ์ที่มีคลื่นความถี่มากที่สุดในประเทศไทย ครบทุกย่านความถี่ ตั้งแต่ย่านความถี่ต่ำ 700 เมกะเฮิรตซ์ 900 เมกะเฮิรตซ์ ย่านความถี่กลาง 1800 เมกะเฮิรตซ์ 2100 เมกะเฮิรตซ์ 2600 เมกะเฮิรตซ์ และย่านความถี่สูง 26 กิกะเฮิรตซ์
ไทยคม -จับมือพันธมิตรขยายธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดาวเทียม
ในปีที่ผ่านมา ไทยคมมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 514 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนในปี 2562 ที่ 2,250 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้รายการพิเศษ ซึ่งในปี 2562 ไทยคมมีการบันทึกค่าใช้จ่ายพิเศษจำนวน 1,946 ล้านบาท โดยเป็นการบันทึกการด้อยค่าสินทรัพย์ดาวเทียมเป็นหลัก ขณะที่ปี 2563 มีการรับรู้รายได้พิเศษจำนวน 649 ล้านบาท โดยเป็นการรับรู้รายได้อื่นจากเงินชดเชยเป็นหลัก
ขณะที่รายได้จากการขายและการให้บริการในปี 2563 อยู่ที่ 3,557 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 24 จากปีก่อนหน้า ซึ่งเป็นการลดลงของรายได้จากธุรกิจดาวเทียมและบริการที่เกี่ยวเนื่องเป็นหลัก โดยรายได้จากดาวเทียมแบบทั่วไปลดลงร้อยละ 16 จากปี 2562 เนื่องจากการยุติการใช้บริการของลูกค้าบางส่วนจากการปลดระวางดาวเทียมไทยคม 5 ทำให้อัตราการใช้งานดาวเทียมทั่วไป (ที่ไม่รวมดาวเทียมไทยคม 5) ณ สิ้นปี 2563 เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 64 จาก ณ สิ้นปี 2562 ที่ร้อยละ 55 ส่วนอัตราการใช้งานดาวเทียมบรอดแบนด์อยู่ที่ร้อยละ 19 ลดลงจากร้อยละ 23 ณ สิ้นปี 2562 เนื่องมาจากการสิ้นสุดสัญญาการใช้บริการและการลดการใช้งานของลูกค้าต่างประเทศบางราย
จากสภาวะการชะลอตัวของอุตสาหกรรมดาวเทียม ไทยคมจึงมุ่งหาพันธมิตรเพื่อต่อยอดธุรกิจใหม่ที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยีและดาวเทียม โดยจัดตั้ง 2 บริษัทใหม่ขึ้น ได้แก่ บริษัท เนชั่น สเปซ แอนด์ เทคโนโลยี จำกัด (เนชั่น สเปซ) ให้บริการธุรกิจที่เกี่ยวกับดาวเทียม และบริษัท เอทีไอ เทคโนโลยี จำกัด (เอทีไอ) เพื่อพัฒนาสินค้าและบริการเกี่ยวกับอากาศยานไร้คนขับ หรือโดรนเพื่อการเกษตร
อินเว้นท์ - เน้นการลงทุนที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล
ในปี 2563 อินทัชลงทุนในบริษัทสตาร์ทอัพที่เป็นธุรกิจเกิดใหม่และสอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคในยุคดิจิทัล ภายใต้โครงการอินเว้นท์ รวม 5 บริษัท คือ บริษัท ดาต้าฟาร์ม จำกัด ธุรกิจเทคโนโลยีความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ (Cybersecurity) ผู้ให้บริการทดลองเจาะระบบ และบริการตรวจสอบเทคโนโลยีสารสนเทศแก่ลูกค้าองค์กร บริษัท แอกซินัน พีทีอี ลิมิตเต็ด ธุรกิจเทคโนโลยีประกันภัยสมัยใหม่ (InsurTech) ให้บริการเทคโนโลยีประกันภัยดิจิทัล บริษัท พาโรนีม ธุรกิจเทคโนโลยีวิดีโอเชิงโต้ตอบ (Interactive Video Technology) ที่ต่อยอดด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ บริษัท ชมชอบกรุ๊ป จำกัด ผู้พัฒนาแพลตฟอร์มการแลกเปลี่ยนแต้มเป็นเงิน (Point Exchanges & Redeem Platform) และบริษัท สวิฟท์ ไดนามิคส์ จำกัด ผู้ให้บริการซอฟท์แวร์และคำปรึกษาด้านการก่อสร้างและซ่อมบำรุงผ่านระบบคลาวด์ และเทคโนโลยีไอโอที (Internet of Things (IoT)) รวมทั้งได้ลงทุนเพิ่มในบริษัทที่ได้ลงทุนไปแล้ว 3 บริษัท คือ บริษัท เพียร์ พาวเวอร์ จำกัด บริษัท ช็อคโก้ คาร์ด เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด และบริษัท อีเว้นท์ ป็อป โฮลดิ้งส์ พีทีอี ลิมิเต็ด ทำให้จำนวนเงินลงทุนรวมในปี 2563 อยู่ที่ 279 ล้านบาท นอกจากนี้ ได้ขายหุ้นที่ลงทุนในบริษัท โซเชี่ยล เนชั่น และ บริษัท วงใน มีเดีย จำกัด ทำให้มูลค่าพอร์ตการลงทุนภายใต้โครงการอินเว้นท์ ณ สิ้นปี 2563 อยู่ที่ 975 ล้านบาท และมีบริษัทที่อยู่ในพอร์ตรวมทั้งสิ้น 18 บริษัท
อินทัช ยังคงเดินหน้าหาการลงทุนใหม่เพื่อสร้างรายได้ที่เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต โดยลงทุนในธุรกิจดิจิทัลไลฟ์สไตล์ และขยายการลงทุนในสตาร์ทอัพต่างประเทศเพิ่มขึ้น เพื่อนำเทคโนโลยีเข้ามาพัฒนาคุณภาพชีวิตของคนไทย รวมทั้งสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขันให้กับกลุ่มอินทัช เพื่อเข้าถึงโอกาสในการลงทุนธุรกิจใหม่ๆ เช่น เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับเทคโนโลยี 5G คลาวด์ ความมั่นคงปลอดภัยทางไซเบอร์ หรือ เทคโนโลยีอัจริยะต่างๆ ที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป
ที่มา: อินทัช โฮลดิ้งส์