SVI รุกผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ป้อนอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ของโลก รับลูกค้าสหรัฐฯ และจีน ดันไทยเป็นฐานผลิตตัวรับส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G

จันทร์ ๐๑ มีนาคม ๒๐๒๑ ๑๐:๕๗
บมจ.เอสวีไอ หรือ SVI จับกระแสอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ของโลก ประเดิมผลิตอุปกรณ์ตัวรับส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับอุปกรณ์ 5G รับดีมานด์คำสั่งซื้อเพิ่มขึ้น หลังลูกค้าในสหรัฐและจีนดันไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออก ลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนของสงครามการค้าสหรัฐ-จีน คาดสิ้นปีทำรายได้จากการผลิตอุปกรณ์ 5G ประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีแนวโน้มเติบโตมากกว่า 10% ทุกปี ขณะที่ผลการดำเนินงานปี 2563 ทำกำไรสุทธิ 686 ล้านบาท พุ่งขึ้น 84.4% พร้อมจ่ายเงินปันผลอัตรา 0.11 บาทต่อหุ้น เพื่อตอบแทนผู้ถือหุ้น

นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI ผู้ประกอบธุรกิจให้บริการแบบครบวงจรในการประกอบผลิตภัณฑ์ประเภทวงจรไฟฟ้าและผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์สำเร็จรูป ให้แก่ลูกค้าในภาคอุตสาหกรรมที่เป็นเจ้าของผลิตภัณฑ์ต้นแบบ (Original Equipment Manufacturer: OEM) เปิดเผยว่า แนวทางการดำเนินงานในปีนี้ บริษัทฯ จะมุ่งพัฒนาผลิตภัณฑ์อิเล็กทรอนิกส์เพื่อป้อนอุตสาหกรรมขนาดใหญ่ สอดรับกับเมกะเทรนด์การลงทุนในตลาดโลก โดยอุตสาหกรรมโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีการสื่อสารระบบ 5G ถือเป็นเครื่องจักรสำคัญที่ขับเคลื่อนการเติบโตอุตสาหกรรมของโลก ที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีการสื่อสารไร้สายนำสังคมก้าวสู่ยุค IOT ทำให้หลายประเทศทั่วโลกมีการลงทุนด้านมิลิมิเตอร์เวฟเทคโนโลยีสำหรับการรองรับ 5G อย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนเติบโตเฉลี่ย 130.7% หรือเพิ่มเป็น 668 พันล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2569 จากปี 2563 ที่มีเงินลงทุนประมาณ 5.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ

ดังนั้น SVI จึงมุ่งนำศักยภาพการผลิตที่มีประสิทธิภาพทั้งด้านเทคโนโลยีการผลิตและบริหารจัดการต้นทุนที่เอื้อต่อการผลักดันการลงทุนอุตสาหกรรมที่อยู่ในเมกะเทรนด์ของโลก โดย SVI ได้เริ่มผลิตตัวรับส่งสัญญาณความเร็วสูงสำหรับ 5G หรือ Optical transceiver เพื่อนำไปใช้ในอุตสาหกรรมสื่อสารโทรคมนาคม 5G ของโลกแก่กลุ่มลูกค้าในประเทศสหรัฐอเมริกาและจีน ที่มีประเทศไทยเป็นฐานผลิตเพื่อส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์รองรับ 5G ไปยังตลาดสหรัฐฯ และประเทศอื่นๆ ทั่วโลก รวมถึงต้องการลดความเสี่ยงด้านฐานการผลิตจากปัจจัยความไม่แน่นอนของ Trade War ระหว่างสหรัฐฯ กับจีน

ทั้งนี้ SVI ได้ดำเนินการลงทุนด้านเทคโนโลยีการผลิตที่สำคัญเพื่อสนับสนุนโอกาสเติบโตด้านการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เกี่ยวข้องกับระบบการสื่อสารไร้สาย 5G ของฐานการผลิตในประเทศไทย รองรับความต้องการผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นในอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สาย และสร้างรายได้จากผลิตภัณฑ์กลุ่มดังกล่าวประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็นสัดส่วนมากกว่า 10% ของรายได้รวม และหลังจากนั้นคาดว่ามีรายได้เติบโตเฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี

"เราจะนำศักยภาพการผลิตของโรงงานในกลุ่ม SVI เข้าไปช่วยขับเคลื่อนกลุ่มอุตสาหกรรมเมกะเทรนด์ของโลกผ่านเทคโนโลยีการผลิตที่ทันสมัยและการบริหารจัดการต้นทุนที่เอื้อต่อขีดความสามารถการแข่งขัน รองรับความต้องการผลิตภัณฑ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญในอุตสาหกรรมการสื่อสารไร้สาย จากปัจจัยการขยายตัวการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีสื่อสารยุค 5G" นายสมชาย กล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในปี 2563 บริษัทฯ ทำยอดขายรวม 15,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.1% และมีกำไรสุทธิ 686 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84.4% เทียบกับปีที่ผ่านมา โดยที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ (บอร์ด) มีมติอนุมัติการจ่ายเงินปันผลงวดผลการดำเนินงานในปี 2563 ในอัตรา 0.11 บาทต่อหุ้น โดยกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิได้รับเงินปันผล (Record Date) ในวันที่ 7 พฤษภาคม 2564 และกำหนดจ่ายเงินปันผลในวันที่ 17 พฤษภาคม 2564 นี้

ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๗:๐๒ ASMT ผนึก TFT ร่วมลงนามด้านวิชาการด้านอุตสาหกรรมการบิน
๑๗:๑๖ กรมวิชาการเกษตร เดินหน้า ถ่ายทอดองค์ความรู้การผลิตอะโวคาโดคุณภาพ สร้างรายได้เพิ่มให้เกษตรกรกว่า 2 แสนบาท/ไร่
๑๗:๕๕ Dow มุ่งพัฒนาประสิทธิภาพผลิตภัณฑ์ Personal Care ควบคู่ความยั่งยืน ตอบโจทย์ผู้บริโภคตลาดเครื่องสำอางในภูมิภาคเอเชีย
๑๗:๔๗ โอซีซี มอบความรู้ พัฒนาอาชีพให้ผู้ต้องขังหญิง
๑๗:๑๒ ดร.นุชนารถ ชลคงคา นำทีมสถาบัน ESTC จัดอบรมให้ Karmakamet
๑๗:๐๐ กนภ. เห็นชอบร่าง พรบ. การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ กลไกสำคัญสู่เส้นทางเศรษกิจคาร์บอนต่ำ และมีภูมิคุ้มกันฯ
๑๖:๐๐ WePlay x คอลแลบตัวละครสุดปัง! พบกับมินิเกมใหม่ และการ์ตูนสุดน่ารักที่คุณจะต้องหลงรัก
๑๖:๐๔ เดลต้า ประเทศไทย และ WEnergy Global ร่วมลงนามบันทึกข้อตกลงเพื่อขับเคลื่อนอนาคตพลังงานสีเขียว
๑๖:๔๗ ความภาคภูมิใจของ ไลอ้อน กับ 3 รางวัลแห่งเกียรติยศ เผยผลงานโดดเด่นกับหลายรางวัลที่ได้รับในปี 2567
๑๖:๐๒ NOBLE คว้าเรทติ้งสูงสุด ระดับ AAA SET ESG Ratings ประจำปี 2567 ยกระดับองค์กรสู่ความยั่งยืนภายในแนวคิด Live Different ตามกรอบ