ดร.กิติพงค์ ได้แลกเปลี่ยนข้อมูลพื้นฐาน สร้างความเข้าใจในหลักการของเศรษฐกิจชีวภาพ เศรษฐกิจหมุนเวียน เศรษฐกิจสีเขียว ภายใต้วิสัยทัศน์ในการสร้างเศรษฐกิจของประเทศให้เติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน ด้วยการใช้ความรู้ เทคโนโลยีและนวัตกรรม โดยแบ่งออกเป็น 4 ยุทธศาสตร์ คือ 1. สร้างความยั่งยืนของฐานทรัพยากรและความหลากหลายทางชีวภาพ ปรับจาก "Nature as Resource" เป็น "Nature as Source" 2. พัฒนาชุมชนและเศรษฐกิจฐานรากให้เข้มแข็ง "เดินหน้าไปด้วยกันและไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง" 3. ยกระดับอุตสาหกรรม BCG ให้แข่งขันได้อย่างยั่งยืน "นวัตกรรมพรีเมียม ของเสียเป็นศูนย์" และ 4. สร้างความสามารถในการตอบสนองต่อกระแสการเปลี่ยนแปลงของโลก "พึ่งตนเอง มีภูมิคุ้มกัน ฟื้นตัวเร็ว" รวมถึงได้เน้นย้ำถึงการที่รัฐบาลประกาศให้ BCG Economy Model เป็นระเบียบวาระแห่งชาติ แสดงให้เห็นถึงการให้ความสำคัญกับ BCG ซึ่งทุกคนเห็นว่าเป็นจุดแข็งของประเทศไทย เนื่องจากเรามีทรัพยากร มีความหลากหลายทางชีวภาพ ความหลากหลายทางวัฒนธรรมที่เป็นความได้เปรียบของประเทศอยู่แล้ว (Comparative Advantage) การนำ BCG เข้ามาขับเคลื่อนจะช่วยให้สามารถดึงข้อได้เปรียบนี้ขึ้นมาเป็นความสามารถในการแข่งขัน (Competitive Advantage) ของประเทศได้
"แนวคิดด้านนโยบายของ BCG คือการมองภาพรวมการพัฒนาโดยขับเคลื่อนในส่วนที่เป็นยอดและฐานของพีระมิด ส่วนยอดพีระมิด จะเกี่ยวข้องกับเรื่องที่ต้องใช้ความรู้ทางวิชาการ วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในระดับสูง มีผู้ทำได้ในจำนวนไม่มาก แต่สร้างมูลค่าได้สูง ในขณะที่ฐานของพีระมิด อาจไม่ต้องใช้เทคโนโลยีระดับสูงมากนัก ปรับเปลี่ยนเป็นเทคโนโลยีที่เหมาะสม นำมาเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ที่จะทำให้มีผู้ได้ประโยชน์เป็นคนกลุ่มใหญ่ของประเทศ ซึ่งการนำเทคโนโลยีไปใช้ครอบคลุมทั้งหมด 4 สาขา ได้แก่ เกษตรและอาหาร พลังงานและวัสดุ สุขภาพและการแพทย์ และการท่องเที่ยวและบริการ รวมแล้วมีมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจรวมกัน 3.4 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 21 ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) ตัวอย่างอุตสาหกรรมอาหารที่นำเทคโนโลยีขั้นสูงมาใช้ เช่น ในส่วนยอดของพีระมิด คือการนำเปลือกมังคุดมาทำเป็นสารสกัดแซนโทน (Xanthone) นำไปขายได้ในราคากิโลกรัมละ 2,000 บาท ถ้าอยู่ในเกรดที่บริสุทธิ์มากจะขายได้กิโลกรัมละหนึ่งถึงสองแสนบาท หรือเกรดที่เป็นระดับ Standard ที่ไทยยังไม่สามารถผลิตเองได้ จะขายได้ในราคาสูงถึงกิโลกรัมละกว่าล้านบาท ในส่วนฐานของพีระมิดคือการส่งเสริมด้านการเกษตร เช่น การนำเรื่องเกษตรแม่นยำเข้าไปช่วยเหลือกลุ่มเกษตรกร เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพของสินค้า ผลิตภัณฑ์ ให้ขายได้ในราคาสูงขึ้น หากสามารถทำได้แบบนี้จะช่วยฉุดประเทศไทยให้ออกจากกับดักประเทศที่มีรายได้ปานกลางได้ โดยสินค้าที่มีศักยภาพสูงในการเพิ่มมูลค่าในไทยมีอยู่หลายกลุ่ม เช่น สมุนไพร, ไขมันจากพืช, น้ำตาล, Cellulose Based, Lignocellulose Based, ยางพารา, ไหม เป็นต้น" ดร.กิติพงค์ กล่าว
ในเรื่อง Circular Economy หรือเศรษฐกิจหมุนเวียน ที่เป็นอีกส่วนสำคัญใน BCG Economy Model เพราะเกี่ยวเนื่องกับความยั่งยืนของประเทศ สถานะการดำเนินงานด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนของไทยในปัจจุบันมีข้อจำกัดด้านโครงสร้างการผลิตที่เป็นแบบเส้นตรง (Linear Model) ส่งผลกระทบต่อการกำจัดขยะที่มีต้นทุนสูง ไม่มีระบบจัดการของเสียอย่างครบวงจร การนำเศรษฐกิจหมุนเวียนเข้ามาใช้จะช่วยตอบโจทย์การใช้งานทรัพยากรหมุนเวียนได้อย่างคุ้มค่า มีอายุการใช้งานยาวนานขึ้น และยังทำให้เกิดธุรกิจต่อเนื่อง สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจให้กับประเทศได้ โดยกรอบการพัฒนาเศรษฐกิจหมุนเวียนของไทยตั้งเป้าหมาย ลดการใช้ทรัพยากรลง 1 ใน 3, ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงอย่างน้อย 25% จากการแก้ไขปัญหาเดิมที่มีอยู่ด้วยการแลกเปลี่ยนของเสีย/วัสดุเหลือใช้ซึ่งกันและกัน (Waste Symbiosis), การขนส่งสินค้าคืนสู่ผู้ขายและรีไซเคิล (Reverse Logistic & Recycle), การหมุนเวียนอาหารถูกทิ้ง (Circular Food Waste) ส่วนเป้าหมายต่อมาคือการสร้างมูลค่าจากเศรษฐกิจหมุนเวียน 3% ของ GDP ทำได้ด้วยการใช้เศรษฐกิจหมุนเวียนเป็นโอกาสสำหรับธุรกิจใหม่ ได้แก่ CE Solution Platform (เทคโนโลยี, การจัดการ, การออกแบบเชิงนิเวศ, Match Making) CE Service Provider (มาตรฐาน, องค์ความรู้ที่เฉพาะทาง, แนวทางการพัฒนาธุรกิจ) ผู้ประกอบการเศรษฐกิจหมุนเวียน (CE Entrepreneurs) ซึ่งในส่วนนี้จะเป็นการส่งเสริมให้เกิดกลุ่มนักลงทุน, Start up, SMEs ในด้านเศรษฐกิจหมุนเวียนเพิ่มมากขึ้นด้วย
ด้านแนวทางการส่งเสริมของรัฐบาลมีหลายด้าน เช่น R&D Programs, Funding, แพลตฟอร์มความร่วมมือ, กฎระเบียบและแรงจูงใจทางการเงิน/การคลัง, การส่งเสริมการขายและส่งออก เป็นต้น ในส่วนของกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) มุ่งเน้นสนับสนุนด้านการให้ความรู้ เทคโนโลยี ผู้เชี่ยวชาญ โดยในภาพรวมประมาณการงบประมาณในการวิจัยและพัฒณา BCG ที่รัฐบาลสนับสนุนอยู่ที่สามถึงสี่หมื่นล้านบาท และคาดว่าอยู่ในส่วนสนับสนุนงานวิจัยกว่าหมื่นล้านบาท
ที่มา: สำนักงานสภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (สอวช.)