นายอนันต์ กิตติวิทยากุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไลท์ติ้ง แอนด์ อีควิปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ L&E ผู้นำธุรกิจผลิตและจัดจำหน่ายโคมไฟฟ้า รวมทั้งอุปกรณ์แสงสว่างรายใหญ่ของประเทศไทยและในภูมิภาคอาเซียน เปิดเผยว่า แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 เชื่อว่าจะปรับตัวดีขึ้นจากปีที่ผ่านมา จากการรับรู้รายได้ของงานในมือ ปัจจุบันมีอยู่ที่ 1,200 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่เป็นงานที่เลื่อนมาจากปี 2563 และคาดจะรับรู้ทั้งหมดในปีนี้ พร้อมตั้งเป้าหมายรายได้เติบโต 15-25% โดยยังคงโมเดลธุรกิจ "Total Lighting Solution Provider" เพื่อสร้างความมั่นใจว่าลูกค้าจะได้รับบริการที่ดีที่สุดและสามารถตอบโจทย์ลูกค้าได้เป็นอย่างดี ภายใต้กระแสเศรษฐกิจดิจิทัลที่เรากำลังเผชิญอยู่ในขณะนี้ บริษัทฯ จะยังคงให้ความสำคัญเป็นพิเศษกับผลิตภัณฑ์และบริการที่เกี่ยวข้องกับ IoT ซึ่งบริษัทฯ ได้พัฒนาจนกล่าวได้ว่าอยู่ในขั้นแนวหน้าของประเทศ มีผลงานในด้านนี้จำนวนมาก เช่น สมาร์ทซิตี้ ที่อำเภอเกาะสมุย จังหวัดสุราษฎร์ธานี โคมไฟถนนอัจฉริยะที่วังจันทร์ วัลเลย์ จังหวัดระยอง และโคมไฟฟ้า โซล่าร์อัจฉริยะรอบสนามบินจำนวน 22 แห่ง ของกรมท่าอากาศยาน เป็นต้น และมีแนวโน้มว่าธุรกิจด้านนี้กำลังเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
สำหรับผลประกอบการงวดปี 2563 นับเป็นปีที่มีความท้าท้ายอย่างยิ่ง โดยบริษัทฯ มีรายได้จากการขายและให้บริการ 2,412 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 297 ล้านบาท หรือลดลง 11% เป็นผลจากธุรกิจต่าง ๆ ได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ทำให้ชะลอการลงทุนและซื้อสินค้าจากบริษัทลดลง รวมทั้งราคาต่อหน่วยสินค้าบางรายการต้องปรับตัวลดลง นอกจากนี้ยังมีงานโครงการจำนวนหนึ่งมูลค่าประมาณ 256 ล้านบาท ที่ลูกค้าขอเลื่อนการรับมอบงานจากปี 2563 ไปเป็นปี 2564
บริษัทฯ มีกำไรสุทธิสำหรับงวด 37.1 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนหน้า 35.1 ล้านบาท หรือลดลง 49% เป็นผลจากกำไรขั้นต้นจากการขายรวมรายได้ลดลง 156.7 ล้านบาท เป็นผลจากรายได้จากการขายและให้บริการลดลง และอัตรากำไรขั้นต้นได้ปรับตัวลดลงจาก 34.5% ในปี 2562 เป็น 32.2% ในปี 2563 เนื่องจากบริษัทฯ ได้ขายสินค้าที่มีอัตรากำไรขั้นต้นสูงกว่าในสัดส่วนที่ลดลง รวมทั้งมีสินค้าบางรายการต้องปรับราคาขายลง ในขณะที่การลดต้นทุนผลิตกระทำได้น้อยกว่า โดยค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมดอกเบี้ยจ่ายลดลง 109 ล้านบาท เป็นผลจากค่าใช้จ่ายที่แปรผันตามผลการดำเนินงานได้ปรับตัวลดลง และค่าใช้จ่ายในการเดินทางและส่งเสริมการขายลดลง
ซึ่งเป็นผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่ภาษีเงินได้นิติบุคคลลดลง 12.8 ล้านบาท และส่วนที่เป็นของส่วนได้เสียที่ไม่มีอำนาจควบคุม 0.2 ล้านบาท
ขณะที่ผลประกอบการไตรมาส 1/2564 แม้บริษัทฯ ยังคงต้องเผชิญกับความท้าทายของการแพร่ระบาดระลอกใหม่หรือครั้งที่สองของโควิด-19 เมื่อเทียบกับช่วงไตรมาส 1 ของปีก่อนหน้า ที่ผลประกอบการยังไม่ได้รับผลกระทบจากโควิด-19 ในรอบแรก แต่คาดว่าแนวโน้มธุรกิจจะเร่งฟื้นตัวอย่างชัดเจนในครึ่งปีหลังของปี 2564 เป็นต้นไป ในทิศทางเดียวกับการฟื้นตัวของภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศที่เริ่มเดินหน้าและขยายตัว หลังวัคซีนเข้ามาคลายกังวล และภาพรวมงานโครงการต่างๆ มีแนวโน้มเชิงบวก และเร่งส่งมอบงานให้แล้วเสร็จ
" L&E เรามีความแข็งแกร่งในงานโครงการด้านไฟฟ้าแสงสว่าง และมีสัดส่วนเป็นรายได้หลัก ซึ่งตามสถิติของบริษัทฯ รายได้ที่มาจากงานโครงการส่วนใหญ่ค่อนข้างมีรูปแบบเป็นซีซั่น หรือคิดเป็นสัดส่วนโดยประมาณ 45% ในครึ่งปีแรก และ 55% ในครึ่งปีหลัง แต่ในปีนี้ผลกระทบจากโควิด-19 ระลอกใหม่ รายได้ครึ่งปีแรกจะชะลอตัวจากที่คาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ คาดว่าในครึ่งปีหลังจะปรับตัวดีขึ้นหลังจากที่วัคซีนเข้ามาแล้ว และยังคงมั่นใจเป้าหมายการเติบโตในปีนี้ยังคงเติบโตในระดับ 15-25% ตามเดิมที่วางไว้" นายอนันต์ กล่าว
ทั้งนี้ บริษัทฯ ให้ความสำคัญกับการเติบโตที่ยั่งยืน โดยมีนโยบายรักษาวินัยทางการเงิน และจะรักษาสัดส่วน D/E ที่เหมาะสม ไม่ให้เกิดปัญหาความเสี่ยงจากการลงทุนมากเกินไป อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงคำนึงถึงผู้ถือหุ้นเป็นหลัก แม้ผลประกอบการปี 2563 จะลดลง แต่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ มีมติเห็นสมควรนำเสนอต่อที่ประชุมสามัญผู้ถือหุ้นประจำปี 2564 พิจารณาจ่ายเงินปันผลประจำปี สิ้นสุด ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2563 โดยจ่ายเงินปันผลเป็นเงินสดในอัตรา 0.075 บาทต่อหุ้น กำหนดรายชื่อผู้มีสิทธิได้รับปันผล (Record Date) วันที่ 5 พ.ค. 2564 และจ่ายเงินปันผลวันที่ 21 พ.ค. 2564 โดยบริษัทฯ จะจัดประชุมสามัญผู้ถือหุ้น วันที่ 28 เม.ย. 2564 เพื่อพิจารณามติดังกล่าว
ที่มา: ไออาร์ พลัส