นายชนินทร์ เย็นสุดใจ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2564 นายวนรัชต์ ตั้งคารวคุณ ซึ่งผู้ถือหุ้นใหญ่ได้ทำรายการขายหุ้นบนกระดานรายใหญ่ (Big lot) จำนวน 952,000,000 หุ้น หรือคิดเป็น 8% อย่างไรก็ตามภายหลังการขายหุ้นดังกล่าว ยังคงเหลือสัดส่วนการถือหุ้นประมาณ 70% และเมื่อร่วมกับ Stark Investment Corporation Limited
ทั้งนี้ หุ้นดังกล่าวดำเนินการผ่าน บริษัทหลักทรัพย์ เครดิต สวิส (ประเทศไทย) จำกัด จะแบ่งจัดสรรให้กับพันธมิตรได้แก่ นักลงทุนสถาบันในประเทศ ประมาณ 40% สถาบันต่างประเทศ ประมาณ 50% และนักลงทุนรายใหญ่
"การที่กลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่ตัดสินใจขายหุ้นบิ๊กล็อต เนื่องจากที่ผ่านมามีนักลงทุนสถาบันในประเทศไทยและต่างชาติ แสดงความสนใจขอเข้าร่วมลงทุนจำนวนมาก ด้วยมองเห็นถึงปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งของ STARK เพราะอุตสาหกรรมสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ลมีแนวโน้มการเติบโตระดับสูง จากความต้องการใช้เพิ่มขึ้นทั่วโลก และบริษัทฯมีศักยภาพการทำกำไรที่ดี นอกจากนี้ยังผลักดันให้ Free Float เพิ่มขึ้นจากปัจจุบันประมาณ 20% เพิ่มเป็น ประมาณ 30% จะส่งผลให้เป็นหุ้นที่นักลงทุนสถาบันให้ความสนใจมากยิ่งขึ้น
ประธานกรรมการ กล่าวอีกว่าการทำรายการบิ๊กล็อตในครั้งนี้ไม่มีผลกระทบต่อโครงสร้างการบริหารงาน ตลอดจนนโยบายการดำเนินธุรกิจของบริษัทแต่อย่างใดและมั่นใจว่าพันธมิตรที่ร่วมลงทุนในครั้งนี้จะถือลงทุนในระยะยาว เนื่องจากต้องการเติบโตไปพร้อมกับ STARK
สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 บริษัทฯ ตั้งเป้ารายได้เติบโตไม่น้อยกว่า 15-20% และมั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง ด้วยกลยุทธ์การมุ่งเน้นกลุ่มสินค้า High margin โดยเฉพาะกลุ่มสายไฟแรงดันระดับกลางจนถึงระดับสูงพิเศษ (Medium - Extra High Voltage) ซึ่งมีอัตราการเติบโตสูงตามจำนวนโครงการต่าง ๆ ของภาครัฐและเอกชนที่มากขึ้นทั้งในประเทศและต่างประเทศ และปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ 8,400 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทฯมีความพร้อมที่จะยื่นเข้าประมูลงานโครงการใหม่อีกจำนวนมาก
นอกจากนี้ การเข้าไปลงทุนประเทศเวียดนามในปีที่ผ่านมา สามารถสร้างมูลค่าให้กับบริษัทฯ ได้อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะโอกาสในการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งบริษัทฯ มีแผนจะบุกตลาดสหรัฐ หลังจากที่จีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกรายใหญ่ถูกกีดกันด้วยกำแพงภาษี จึงเป็นโอกาสที่ดี ขณะที่ตลาดสหรัฐ มีความต้องการใช้สายไฟฟ้า และเคเบิ้ลคุณภาพสูงจำนวนมาก
โดยบริษัทฯ คาดว่าจะใช้โรงงานในเวียดนามเป็นส่วนหนึ่งของฐานการผลิต เพื่อส่งออกไปรวมถึงหาโอกาสใหม่ในภูมิภาคอื่นๆ ซึ่งในปีนี้มีเป้าหมายสัดส่วนรายได้การส่งออกเพิ่มขึ้นเป็น 10-12% จากเดิม 8% โดยคาดว่าจะมีการส่งออกไปยัง 50 ประเทศ เพื่อมุ่งสร้างการเติบโตขององค์กรอย่างต่อเนื่องและมั่นคงในระยะยาว และสร้างผลตอบแทนที่น่าพอใจให้กับผู้ถือหุ้นต่อไป
ที่มา: สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น