ตลาดทยอยปรับลดประมาณ GDP ไทยปีนี้ลง : สถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในไทยยังดูน่าเป็นห่วง โดยล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อในประเทศอยู่ในระดับเหนือ 2 พันรายต่อวัน 4 วันติดต่อกัน ทำให้ ณ ปัจจุบันมีผู้ติดเชื้อสะสมในไทยแล้วถึง 57,508 ราย โดยในรอบนี้มีการแพร่ระบาดหนักในหัวเมืองสำคัญ เช่น กทม. เชียงใหม่ ชลบุรี ดังนั้นจึงเป็นปัจจัยที่อาจเพิ่ม Downside ต่อการปรับลดประมาณการการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยมากยิ่งขึ้น โดยทางทีมวิจัย MKET ได้ปรับลดประมาณการ GDP ไทยปีนี้ลงสู่ระดับ 2.7% จาก 3.5% สอดคล้องกับ consensus ที่เตรียมปรับลดลง โดยสำหรับด้านกระทรวงการคลังจะมีการแถลงในวันที่ 28 เมษายน นี้ คาดว่าจะมีการปรับลดประมาณการปีนี้เช่นกัน
Global play รับแรงหนุนจากเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว : ตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ทั้งภาคการผลิต, บริการ, แรงงาน ของหลายประเทศสำคัญในโลก เช่น สหรัฐฯ, จีน, ยุโรป มีการฟื้นตัวที่ดี สะท้อน Upside ของโอกาสในการปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจโลกมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นตัวบ่งชี้ถึงความต้องการของสินค้าโภคภัณฑ์ที่สูงขึ้น รวมถึงเป็นภาพบวกต่อความต้องการปิโตรเคมีที่จะเร่งตัวขึ้นเช่นกัน ดังนั้นเราเชื่อว่าส่วนต่างปิโตรเคมีจะได้อานิสงส์เชิงบวกจากเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว โดยมีการปรับตัวขึ้นเด่นในช่วง 1Q64 และเชื่อว่าความต้องการยังแข็งแกร่ง หนุนให้แนวโน้มส่วนต่างปิโตรเครมียังดีต่อเนื่องใน 2Q64 เป็นบวกต่อภาพกำไรในช่วงครึ่งปีแรกของกลุ่มปิโตรเคมียังคงโดดเด่น โดยเราแนะนำทยอยสะสม SCC
SCC (BUY,450) เป็นหุ้นเด่นสำหรับธีมในสัปดาห์นี้ :
คาดกำไร 1Q64 โดดเด่นที่ 12,700 ล้านบาท (+58%QoQ, +82%YoY) แรงหนุนสำคัญจากธุรกิจปิโตรเคมี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และ การขยายกำลังการผลิต คาดจะหนุนผลประกอบการปีนี้เติบโตได้ดี โดยคาดจะรายงานผลประกอบการวันที่ 28 เมษายนนี้ ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้ว่าประมาณการกำไรของตลาดทำไว้มีโอกาสต่ำไป หนุนโอกาสปรับประมาณการเพิ่มเติม
แนวโน้มส่วนต่าง HDPE-Naphtha ในช่วงเดือน เมษายน ยังคงอยู่ในระดับสูงที่ 733 เหรียญต่อตัน เทียบกับช่วง 1Q64 ที่ 588 เหรียญต่อตัน และ 2Q63 ที่ 486 เหรียญต่อตัน เป็นตัวชี้นำสำคัญต่อคาดการณ์เชิงบวกของผลประกอบการ 2Q64
ในช่วง 2-3 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต แรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจ คือ ธุรกิจปิโตรเคมี กำลังการผลิตจะเพิ่ม70% ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เน้นเซอร์วิสและโซลูชั่น ไปรีเทล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ตั้งเป้าจะโตเป็น 2 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า
คงแนะนำ ซื้อ เป้าหมายเป็น 450 บาท บนฐาน Forward P/E+0.5SD = 13.9 เท่า และมีอัตราการจ่ายปันผลราว 4% ต่อปี
ที่มา: บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)