นายอารภัฏ สังขรัตน์ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานสำหรับงวดสามเดือนสิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 โดยบริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 276.73 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 142.05 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 105.47 เมื่อเปรียบเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนซึ่งมีกำไรสุทธิ 134.68 ล้านบาท บริษัทฯ จึงใคร่ขอชี้แจงสาเหตุการเปลี่ยนแปลง ในส่วนที่มีสาระสำคัญดังนี้ รายได้ค่านายหน้าเพิ่มขึ้น 178.38 ล้านบาท จาก 507.94 ล้านบาท เป็น 686.32 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 35.12 เนื่องจากรายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 203.83 ล้านบาท จาก 442.42 ล้านบาท เป็น 646.25 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 46.07 อันเป็นผลจากมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของตลาดหลักทรัพย์ เพิ่มขึ้นจาก 66,901.38 ล้านบาทต่อวัน เป็น 96,950.96 ล้านบาทต่อวัน หรือ เพิ่มขึ้นร้อยละ 44.92 และ สัดส่วนนักลงทุนบุคคลซึ่งเป็นส่วนรายได้หลักของบริษัท เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 37.81 เป็นร้อยละ 47.33 อันเป็นผลให้มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยของนักลงทุนบุคคล เพิ่มขึ้นจาก 25,293.81 ล้านบาทต่อวัน เป็น 45,882.65 ล้านบาทต่อวัน หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 81.40 รายได้ค่านายหน้าจากการซื้อขายสัญญาซื้อขายล่วงหน้าลดลง 25.45 ล้านบาท จาก 65.52 ล้านบาท เป็น 40.07 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 38.84
สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการเพิ่มขึ้น 28.19 ล้านบาท จาก 13.70 ล้านบาท เป็น 41.89 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น ร้อยละ 205.77 เนื่องมาจากค่าธรรมเนียมจากการจัดจำหน่ายหลักทรัพย์เพิ่มขึ้น 11.77 ล้านบาท ค่าที่ปรึกษาทางการเงินเพิ่มขึ้น 7.09 ล้านบาท และค่าธรรมเนียมและบริการอื่นเพิ่มขึ้น 9.33 ล้านบาท ในขณะที่รายได้อื่นลดลง 9.72 ล้านบาท จาก 229.79 ล้านบาท เป็น 220.07 ล้านบาท หรือลดลงร้อยละ 4.23 เนื่องมาจากรายได้ดอกเบี้ยเงินให้กู้ยืมเพื่อซื้อหลักทรัพย์ลดลง 11.31 ล้านบาท และรายได้ดอกเบี้ยจากเงินฝากในสถาบันการเงินและพันธบัตรรัฐบาลลดลง 19.16 ล้านบาท ในขณะที่กำไรและผลตอบแทนจากเครื่องมือทางการเงินเพิ่มขึ้น 18.77 ล้านบาท และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น 1.98 ล้านบาท
โดยค่าใช้จ่ายรวมของบริษัทฯ เพิ่มขึ้น 20.46 ล้านบาท จาก 581.50 ล้านบาท เป็น 601.96 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 3.52 เนื่องมาจาก ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์พนักงานเพิ่มขึ้น 37.27 ล้านบาท ค่าธรรมเนียมและบริการจ่ายเพิ่มขึ้น 2.93 ล้านบาท ผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้นเพิ่มขึ้น 1.92 ล้านบาท และค่าใช้จ่ายอื่นเพิ่มขึ้น 5.22 ล้านบาท ในขณะที่ ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลง 26.88 ล้านบาท และภาษีเงินได้นิติบุคคลเพิ่มขึ้น 34.34 ล้านบาท จาก 35.25 ล้านบาท เป็น 69.59 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 97.42 เนื่องมาจากการเพิ่มขึ้นของกำไรก่อนค่าใช้จ่ายภาษีเงินได้
"เราพอใจอย่างยิ่งกับผลการดำเนินงานของบริษัทฯ และเป้าหมายที่ประสบความสำเร็จในการสร้างแพลตฟอร์มเพื่อนำเสนอทางเลือกในการลงทุนใหม่ๆ โดยมีการวางแผนการลงทุนและปรับให้เหมาะสมกับความต้องการของกลุ่มลูกค้าในแต่ละประเภท" นายอารภัฏ กล่าวเพิ่มเติม
ที่มา: เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)