นายธรรศพลฐ์ แบเลเว็ลด์ ประธานกรรมการบริหาร บมจ.เอเชีย เอวิเอชั่น และสายการบินไทยแอร์เอเชีย กล่าวว่า จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจมาต่อเนื่องยาวนาน ทำให้สายการบินต้องปรับตัวทั้งด้านการบริหารจัดการต้นทุนและรายได้ให้สอดคล้องกัน โดยล่าสุดบริษัทฯ ได้กำหนดแผนการปรับโครงสร้างกิจการขึ้นใหม่ ซึ่งจะทำให้ TAA มีทุนหมุนเวียนและสภาพคล่องในการดำเนินธุรกิจอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเพิ่มทุนเป็นเวลาอย่างน้อยอีก 3 ปี พร้อมเติบโตได้อย่างยั่งยืน
ทั้งนี้ สำหรับแผนระยะสั้น TAA จะได้รับสินเชื่อจากนักลงทุนรายใหม่ ในรูปแบบของสัญญาเงินกู้แปลงสภาพ หรือหุ้นกู้แปลงสภาพ ปลอดดอกเบี้ย มูลค่าไม่เกิน 3,150 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้ นักลงทุนรายใหม่อยู่ระหว่างการตรวจสอบกิจการ และเจรจารายละเอียดของเงื่อนไขต่างๆ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จไม่เกินกลางเดือนพฤษภาคม 2564 นี้ และได้รับเงินลงทุนส่วนนี้ประมาณปลายเดือนมิถุนายน โดยหลังจากนี้นักลงทุนจะสามารถแปลงสภาพสัญญาหุ้นกู้นี้ เป็นหุ้นสามัญของTAA ภายหลังจากที่ TAA นำแผนเข้าหารือและได้รับอนุมัติจาก กลต. และตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในการนำ TAA เข้าจดทะเบียนแทน AAV และเสนอขาย หุ้น IPO ต่อไป ซึ่งทำให้จากแผนปรับโครงสร้างกิจการทั้งหมดครั้งนี้ TAA จะได้เงินทุนรวมทั้งสิ้น 5,907 ล้านบาท (ไม่รวม ESOP ซึ่งเป็นการออกและเสนอขายหุ้นสามัญที่ออกใหม่ให้แก่ผู้บริหารระดับสูงของ TAA)
ทั้งนี้ นายธรรศพลฐ์ กล่าวถึงเหตุผลในการนำ TAA เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แทน AAV เพราะมองว่า TAA ซึ่งบริษัทปฏิบัติการโดยตรงจะสร้างโอกาสให้นักลงทุนได้ถือหุ้นตรง ดีกว่า AAV ซึ่งเป็นบริษัทโฮลดิ้ง โดยขอให้เชื่อมั่นว่าทุกฝ่ายจะได้ประโยชน์ร่วมกันในแผนครั้งนี้ ทั้งนักลงทุนใหม่ และผู้ถือหุ้นเดิม โดยผู้ถือหุ้นเดิมของ AAV จะได้รับผลกระทบจากการเพิ่มทุน (Dilution Effect) ครั้งนี้น้อยที่สุด เมื่อเทียบกับการระดมทุนรูปแบบอื่นๆ
"ผมยืนยันเสมอว่าสายการบินไทยแอร์เอเชียจะยังอยู่รอด เพราะเรามีแผนและเตรียมพร้อมอยู่ตลอด ซึ่งขอให้นักลงทุนและผู้ใช้บริการทุกคนมั่นใจ สำหรับตัวผมยังมีพลังและพร้อมทำหน้าที่ฝ่ายบริหารของไทยแอร์เอเชียต่อไป ไม่ทิ้งกันไปไหนแน่นอน" นายธรรศพลฐ์กล่าว
ที่มา: ไทยแอร์เอเชีย