"SAMMii" บอกเล่าถึงแรงบันดาลใจที่ทำให้เธอหันมาจับปลายปากกาแต่งเนื้อร้องเพลง "ทานตะวัน" สืบเนื่องมาจากเธอบังเอิญได้มีโอกาสอ่านหนังสือที่ชื่อว่า "ทานตะวันบนดวงจันทร์" ของนักเขียน "อะตอม ปกรณ์" แม้เนื้อหาในหนังสือเล่มนั้นจะไม่ได้เกี่ยวพันกับเพลงของเธอเลยสักนิด แต่หลังจากที่เธออ่านมันจนจบ เธอกลับค้นพบความหมายบางสิ่งบางอย่างของมันอย่างน่าทึ่งว่าเจ้าดอกไม้สีเหลืองสดใสนี้ มีความหมายของความจงรักภักดี และสื่อถึงความรักที่บริสุทธิ์ใจ เธอจึงนิยามความรักครั้งนี้ให้เป็นเหมือนดอก "ทานตะวัน" นั่นจึงเป็นที่มาที่ทำให้เธอเลือกแต่งเพลงนี้ และใช้ชื่อดอกไม้สีเหลืองเป็นชื่อเพลง
โดย "SAMMii" เลือกเล่าในมุมมองการเปรียบคนรักให้เป็นดอก "ทานตะวัน" พร้อมกับพยายามแกะความรู้สึกส่วนลึกในใจของคนรักที่เรากำลังคบอยู่ ว่าเขาลืมแฟนเก่าได้หรือยัง? หรือเขายังมีใครคนนั้นอยู่ในใจ เหมือนดอก "ทานตะวัน" ที่กำลังหันหน้าเข้าหาแสง แต่ไม่ได้หันหน้ามาทางเรา นอกจากนี้ "SAMMii" ยังเลือกใส่ความเป็นอาร์ทิสในตัวเองลงไปใน MV อย่างมีชั้นเชิง ถ่ายทอดความรู้สึกนึกคิดภายในจิตใจ ออกมาผ่านสีหน้า แววตา เหมือนกำลังสื่อสารพูดคุยกับเจ้าดอก "ทานตะวัน" ทั้งที่ไม่ได้หันหน้ามองกันเลยด้วยซ้ำ มีเพียงความรู้สึกโดดเดี่ยว เมื่อเห็น "ทานตะวัน" ค่อยๆ ลับตาไป จนเห็นเพียงด้านหลังบางตาที่บ่งบอกว่าเจ้า "ทานตะวัน" จะไม่มีวันหันกลับมา เหลือเพียงเงาสะท้อนของกระจกที่เธอเฝ้ามอง "ทานตะวัน" ต่อไป เฉกเช่นประโยคเตือนใจตนเองในตอนต้นของ MV "Never fall in love with a sunflower" ที่ "SAMMii" บอกไว้ว่า "อย่าตกหลุมรักดอกทานตะวันเป็นอันขาด" ไม่งั้นก็จะเจ็บไม่มีวันจบนั่นเอง
ที่มา: ยูนิเวอร์ซัล มิวสิค (ประเทศไทย)”