นายพิทักษ์ รัชกิจประการ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท พีทีจี เอ็นเนอยี จำกัด (มหาชน) หรือ PTG เปิดเผยว่า สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 ปี 2564 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีรายได้จากการขายและการให้บริการรวม 32,264 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 3,143 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10.8% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 531 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 327 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 159.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ มีรายได้เพิ่มขึ้น เนื่องจากปริมาณการขายในธุรกิจน้ำมันเติบโต 1,336 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 9.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าอุตสาหกรรมโดยรวมของประเทศที่มีการใช้น้ำมันลดลง 0.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่ยังคงส่งกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง แต่จากการใช้น้ำมันผ่านสถานีบริการของบริษัทฯมีการเติบโตได้ดี โดยปริมาณการจำหน่ายน้ำมันต่อสถานี หรือ Same Store Sales เติบโตถึง 3.8% จากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ทำให้บริษัทฯ ยังคงสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาด (มาร์เก็ตแชร์) ผ่านทุกช่องทางเป็นอันดับ 2 โดยมีมาร์เก็ตแชร์อยู่ที่ 15.5%
สำหรับรายได้ที่มาจากธุรกิจน้ำมันคิดเป็นสัดส่วน 96.2% ของรายได้รวมทั้งหมด และที่เหลืออีก 3.8% มาจากธุรกิจที่ไม่ใช่น้ำมัน (Non-Oil) ซึ่งในไตรมาสนี้มีรายได้เพิ่มขึ้น อยู่ที่ 1,251 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 16.0% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตอย่างต่อเนื่องและการให้บริการที่ครอบคลุม นอกเหนือจากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันที่เพิ่มขึ้นแล้ว ปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG ของบริษัทฯ ก็เติบโตเช่นเดียวกัน โดยในไตรมาสนี้มีปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG อยู่ที่ 62 ล้านลิตร หรือคิดเป็นเติบโต 56.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้ว่าจะได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 จากการใช้บริการแก๊ส LPG ผ่านสถานีบริการ อย่างไรก็ตาม บริษัทฯ ยังคงสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดการจำหน่ายแก๊ส LPG ผ่านสถานีบริการเป็นลำดับที่ 3 ด้วยส่วนแบ่งการตลาด 16.0% ในขณะที่การจำหน่ายแก๊ส LPG ครัวเรือนและอุตสาหกรรม ของบริษัทฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น กว่า 5,644% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้ในไตรมาสนี้ บริษัทฯ มีมาร์เก็ตแชร์ในส่วนของธุรกิจ LPG โดยรวมเป็นอันดับ 5 คิดเป็น 3.9% นอกจากนี้ ธุรกิจกาแฟพันธุ์ไทยก็ยังคงเติบโตได้อย่างแข็งแกร่งจากการนำผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นมาใช้เป็นส่วนผสมในการพัฒนาสูตรอาหารและเครื่องดื่ม เช่น กาแฟน้ำตาลดอกมะพร้าว กาแฟมะปี๊ด กาแฟตาลโตนด และเมนูเครื่องดื่มและอาหารที่มีส่วนผสมของใบกัญชา ส่งผลให้ Same Store Sales ของกาแฟพันธุ์ไทยสามารถเติบโตเพิ่มขึ้น 13.9% จากปีที่แล้ว
นอกจากธุรกิจน้ำมัน และธุรกิจ Non-Oil ที่ยังเติบโตได้อย่างต่อเนื่องแล้ว บริษัทฯ ยังคงตั้งเป้าหมายขยายธุรกิจไปยังธุรกิจพลังงานทดแทน โดยไตรมาส 1 ปี 2564 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับการไฟฟ้าฝ่ายผลิต (กฟผ.) ติดตั้งสถานีอัดประจุไฟฟ้าสำหรับรถยนต์ ซึ่งให้บริการใน 5 สถานี และมีแผนขยายให้ครอบคลุมกว่า 13 จังหวัดทั่วประเทศ เพื่อตอบสนองนโยบาย "อยู่ดี มีสุข" ให้กับลูกค้าตามที่วางไว้"
นายพิทักษ์ กล่าวต่อว่า ถึงแม้สถานการณ์การระบาดของไวรัสโควิด-19 จะยังคงส่งผลต่อเนื่องต่อเศรษฐกิจ แต่ภาพรวมของไตรมาส 2 ปี 2564 บริษัทฯ ยังคงเห็นการเติบโตที่แข็งแกร่ง จากปริมาณการจำหน่ายน้ำมันในเดือนเมษายนที่ผ่านมา ซึ่งมีปริมาณจำหน่ายน้ำมันเติบโต 15.2% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมถึงการใช้บริการแก๊ส LPG ผ่านช่องทางต่าง ๆ ของบริษัทฯ มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเช่นเดียวกัน ยังคงเป็นผลต่อเนื่องจากตั้งเป้าการขยายสาขาให้บริการน้ำมัน และแก๊ส LPG ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ โดยในปีนี้คาดว่ายังคงเป้าการขยายสาขาและจุดบริการ touchpoints รวม 3,160 สาขา ซึ่งรวมถึงการขยายสาขาของธุรกิจ Non- Oil เพื่อให้เกิดศักยภาพและการเติบโตสูงสุด ประกอบกับคาดว่าปริมาณการจำหน่ายน้ำมันยังคงเติบโตได้ 8-12% และปริมาณการจำหน่ายแก๊ส LPG มากกว่า 100% ซึ่งส่งผลให้คงประมาณการเติบโตของ EBITDA ที่ 10-15%
ที่มา: เดอะเวย์ คอมมิวนิเคชั่น