หากดูในรายละเอียดจะพบว่าแผนงบประมาณฉบับใหม่นี้ มีหลายด้านที่เปลี่ยนแปลงอย่างมีนัยสำคัญจากยุคของ โดนัล ทรัปม์ นำโดย ด้านการศึกษา การค้า ด้านสาธารณสุข และด้านสิ่งแวดล้อม (เพิ่มขึ้น +40.9%, +29.4%,+23.4% และ +21.6% ตามลำดับ) ส่วนประมาณการณ์ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญ พบว่า อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 5.5% และ 4.1% ในปี 2564 และ 2565 ตามลำดับ และอัตราเงินเฟ้อ (CPI) อยู่ที่ระดับ 2.1% ในปี 2564-2565 และทรงตัวระดับต่ำกว่า 2.3% ต่อเนื่องในระยะ 10 ปี ข้างหน้า
สิ่งที่สะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนจากแผนงบประมาณนี้ คือ 1) ตอกย้ำนโยบายที่มุ่งเน้นลดความเหลื่อมล้ำ 2) การให้ความสำคัญของนโยบายด้านสิ่งแวดล้อม 3) การให้ความสำคัญของนโยบายต่างประเทศ ซึ่งอาจหมายถึงความตึงเครียดที่จะเกิดขึ้นในอนาคต โดยเฉพาะกับจีนและรัสเซีย 4) ให้น้ำหนักกระตุ้นภาคแรงงานที่ยังฟื้นตัวช้า มากกว่า ความกังวลต่อเงินเฟ้อพุ่งแรงเกินไป จากนโยบายที่ยังเน้นการจ้างงาน และประมาณการณ์เงินเฟ้อในระดับที่ควบคุมได้ในระยะยาว (อย่างไรก็ตามประมาณการณ์เศรษฐกิจนี้ ทำเมื่อเดือน ก.พ. ก่อนที่จะเห็นตัวเลขเดือน เม.ย. +4.2%)
แผนงบประมาณนี้แม้จะมีรายละเอียอดส่วนใหญ่เป็นไปตามที่ตลาดรับรู้อยู่แล้ว แต่ถือเป็นการตอกย้ำภาพเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มวัฎจักรในระยะยาวที่จะค่อยๆฟื้นตัวตามภาวะเศรษฐกิจ การค้าระหว่างประเทศที่ดีต่อเนื่อง (BANKING: KBANK, ENERG&PETRO: PTTEP TOP IRPC, CONMAT: EPG, LOGISTICS: WICE,)
คำชี้แจงสำคัญ : บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) อาจมีธุรกรรมร่วมกับ บมจ.ไวส์ โลจิสติกส์ (WICE)
หุ้น Top Picks
Banking KBANK - แนวโน้มกำไรปี 2564-65 น่าจะขยายตัว 8-11% จากต้นทุนสินเชื่อที่ต่ำกว่าคาดและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้นในไตรมาส 1/64 - คุณภาพสินทรัพย์น่าจะดีต่อเนื่องจาก 1Q64 ที่ออกมาดีกว่าตลาดคาด - ปัจจุบันซื้อขายที่ PBV ไม่แพงระดับ 0.63 เท่า
Energy & Petro PTTEP - แนวโน้มราคาก๊าซผ่านพ้นจุดต่ำสุด ประเมินภาพในระยะยาวขยายตัวเฉลี่ย +3% CAGR ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ และภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว - โอกาสการควบรวมกิจการเพิ่มเติมยังเปิดกว้างจากสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งของบริษัท TOP - ภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวเร็วกว่าคาดหนุน Demand การท่องเที่ยว เดินทาง เป็นบวกต่อน้ำมัน Jet ให้เข้าสู่จุดฟื้นตัว - ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ตามภาคการผลิตของสหรัฐฯที่ขยายตัวเด่น IRPC - แนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ รน่าจะโดดเด่นต่อเนื่องในปี 64 โดยเฉพาะธุรกิจ ABS ที่ได้แรงหนุนด้านอุปทาน กำลังการผลิตทั่วโลกลดลงประมาณ 10%ทั่วโลก เช่นเดียวกับ PP ที่ส่วนต่างผลิตภัณฑ์ยังทรงตัวในระดับสูง ตามภาวะอุปทานที่ตึงตัวในสหรัฐฯและเอเชียเหนือ
Conmat EPG - แนวโน้มกำไรปี 2563/64 (งวดสิ้นสุด มี.ค. 64) เติบโต +25% และ ปี 2564/65 เติบโต +17% จากธุรกิจอุปกรณ์ชิ้นส่วนและตกแต่งรถยนต์ ที่เติบโตตามอุตสาหกรรมรถยนต์ทั้งในต่างประเทศและในประเทศ - ธุรกิจฉนวนยางกันความร้อนและเย็น ดีต่อเนื่องจากจากตลาดสหรัฐฯฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง
Logistics WICE - แนวโน้มกำไรใน 2Q64 มีโอกาสทำสถิติใหม่ไตรมาสที่ 6 ติดต่อกัน จากอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่ง และดีต่อเนื่องในระยะยาว คาด EPS ปี 64 ขยายตัวที่ระดับ 45.4% YoY - โครงสร้างของอัตรากำไรขั้นต้นที่จะยืนอยู่ในระดับสูง คาดในปี 64 อยู่ที่ระดับ 16%
ที่มา: บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)