"ส่วนในกลุ่มนักเทรดแบบ (อาร์บิทราจ) Arbitrage หรือการทำกำไรส่วนต่างแบบทันที ก็จะได้ประโยชน์จากการโอนแบบทันทีระหว่าง Satang Pro กับ กระดานเทรดอันดับหนึ่งของโลก อย่าง Binance ด้วยกลยุทธ์การทำกำไรความเสี่ยงต่ำ เช่นในการโอนสกุลเงินดิจิทัลชนิดเดียวกันที่ราคาแตกต่างกันระหว่าง Exchange ถ้าราคา Bitcoin ที่ Binance ต่ำกว่า Satang Pro นักลงทุนอาจพิจารณาซื้อ Bitcoin ที่ Binance แล้วโอนมา Satang Pro แบบทันที เพื่อขายทำกำไรส่วนต่าง หรือกรณีเดียวกันที่ Bitcoin บน Binance ราคาต่ำกว่า นักลงทุนอาจใช้เงินบาทซื้อ USDT บน Satang Pro แล้วโอนผ่านเน็ตเวิร์ค TRC-20 ไป Binance เพื่อไปซื้อ Bitcoin ที่นั่นก็ได้ เรียกได้ว่าเป็นการทำ Arbitrage ในตลาดคริปโทรูปแบบใหม่ ที่ทั้ง โอนไว และค่าธรรมเนียมถูก" ปรมินทร์ กล่าว
สรัล ศิริพันธ์โนน ซีอีโอ สตางค์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวเสริมว่า "Multiple Network เป็นฟีเจอร์ที่ Satang พัฒนาขึ้นใหม่ล่าสุด มีเฉพาะที่ Satang Pro เท่านั้น เพื่อขจัด Pain Point หรือปัญหาค่าธรรมเนียมการโอนระหว่างกระดานเทรดที่สูง และใช้ระยะเวลานาน ช่วยให้นักเทรดสามารถโอนเหรียญไปยังกระดานอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นในไทย หรือต่างประเทศได้ถูกลงและรวดเร็วขึ้นทำให้การเทรดของนักลงทุนไม่สะดุดและเพิ่มโอกาสทำกำไรโดยเรานำร่องทดลองใช้งานกับ 2 เหรียญที่ได้รับความนิยมได้แก่ BNB และ USDT และกำลังพิจารณาเพิ่มเน็ตเวิร์คในเร็ววันนี้เพื่อเพิ่มโอกาสให้นักเทรดทำกำไรได้มากขึ้น"
ฟีเจอร์ Multiple Network ในขณะนี้นักเทรดสามารถเลือกโอนเหรียญ USDT จาก Satang Pro ผ่านเน็ตเวิร์ค TRC-20 ไปยัง Binance เพื่อไปซื้อ Bitcoin ได้รวดเร็วขึ้น และเสียค่าธรรมเนียมถูกลงกว่า 20 เท่า จึงเหมาะกับนักเทรดที่ต้องการทำกำไรกับการอาร์บิทราจ (Arbitrage) เป็นอย่างมาก ด้านเหรียญ BNB ผู้ใช้งานสามารถโอนผ่านทาง Binance Smart Chain (BEP-20) ไปยังกระเป๋าเงินส่วนตัวโดยตรงได้ อาทิ Metamask, Trust Wallet, Safepal เพื่อนำเงินเข้าสู่โลก Decentralized Finance เช่น PancakeSwap รวมไปถึงสามารถซื้อผลงานดิจิทัลที่มีคุณค่าในโลก NFT (Non-Fungible Token) ได้ ผ่านแพลตฟอร์มต่าง ๆ เช่น BakerySwap
"นอกจากนี้ Satang ยังได้เพิ่ม 5 เหรียญใหม่ ได้แก่ LUNA, CAKE, VET, ICP และ SOL ที่มาพร้อมกับแคมเปญพิเศษรับเงินคืน โดยหลักในการเลือกเพิ่มเหรียญของ Satang คือเหรียญจะต้องมีพื้นฐานการพัฒนาที่ดี คุณภาพสูง กำลังได้รับความสนใจ และมีศักยภาพในการเติบโตในอนาคต จะเห็นว่าในช่วงที่ผ่านมามีเหรียญใหม่ ๆ เกิดขึ้นและได้รับความนิยม บางเหรียญปั่นจนเกินความเป็นจริงไปมากและก็หมดมูลค่าลงในเวลาอันรวดเร็วเพราะไม่มีพื้นฐานที่แน่นพอ ซึ่งเราจะไม่เลือกเหรียญเหล่านั้น เข้ากระดาน" สรัล กล่าว
แนวโน้มตลาดคริปโทเคอร์เรนซี่ในช่วงนี้ ปรมินทร์ ให้ความเห็นว่า "การที่บิทคอยน์ปรับลดลงมากว่า 50% จากราคาช่วงเดือนมีนาคมที่ขึ้นมาตลอดนั้นคือการที่ตลาดทั้งหมดกำลังปรับฐาน แต่จะไม่ลงไปลึกเหมือนในรอบปี 2017 ความแตกต่างก็คือในรอบนี้ผู้เล่นรายใหญ่อย่างนักลงทุนสถาบัน กองทุนระดับโลก มองบิทคอยน์เป็นหนึ่งใน Asset Class เช่นนักวิเคราะห์ของ Goldman Sachs ตั้งข้อสังเกตว่าทั้ง Bitcoin และ Copper ทำหน้าที่เป็นตัวป้องกันความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ ในขณะที่ทองคำถูกมองว่าเป็น Safe Haven ล่าสุด Standard Chartered Ventures (SC Ventures) และ BC Technology Group ก็ประกาศความร่วมมือในการจัดตั้งโบรกเกอร์สินทรัพย์ดิจิทัลและแพลตฟอร์มการซื้อ-ขาย คริปโทเคอร์เรนซี่ ฉะนั้นในระยะยาวตลาดนี้จะไปต่อแน่นอน"
"ส่วนการทำกำไรระยะสั้นจากตลาดในสภาวะ Sideways ยังคงทำได้แต่ต้องระวังและเชี่ยวชาญมาก ๆ อยากให้นักเทรดเปลี่ยน Mindset ให้มองเป็นการลงทุนระยะยาวมากกว่าจะเป็นการเทรดทำกำไรระยะสั้น เพราะโอกาสในการทำกำไรระยะยาวมีมากกว่า และที่สำคัญคริปโทเคอร์เรนซี่เป็นสินทรัพย์เสี่ยงสูง นักลงทุนไม่ควรลงทุนมากกว่าเงินที่พร้อมจะเสีย" ปรมินทร์ สรุป
"การลงทุนมีความเสี่ยง ผู้ลงทุนควรศึกษาข้อมูลให้รอบคอบก่อนตัดสินใจ"
ที่มา: มีเดีย พลัส คอนเนคชั่น