"โครงการบริจาคโลหิต แค็บบ์คิดคนละครึ่ง จะช่วยอำนวยความสะดวกและเพิ่มความมั่นใจทำให้มีจำนวนผู้บริจาคโลหิตมากยิ่งขึ้น เพราะแค็บบ์เป็นแท็กซี่ที่มีมาตรการรักษาความสะอาดที่ดี มีระบบป้องกันการสัมผัส และเป็นรุ่นเดียวที่มีแผงกั้นใสแยกส่วนระหว่างห้องคนขับและห้องผู้โดยสาร พร้อมระบบแอร์แยกส่วน มีระบบอินเตอร์คอมสำหรับสื่อสารกับคนขับ และใช้ระบบชำระค่าโดยสารแบบ Cashless Payment ผ่านบัตรเดบิต บัตรเครดิต และโมบายแบงก์กิ้ง ซึ่งจะช่วยลดการสัมผัส ทำให้คลายความกังวลใจว่าจะติดเชื้อโควิดระหว่างเดินทาง" นายภาสกร กล่าว
ในโอกาสที่จัดโครงการบริจาคโลหิต แค็บบ์คิดคนละครึ่ง บริษัทฯ ยังได้รณรงค์ให้ทีมงานที่มีสุขภาพแข็งแรงไปร่วมบริจาคโลหิตให้กับสภากาชาดไทยด้วย เพื่อร่วมกันฝ่าวิกฤติในสถานการณ์ที่โลหิตขาดแคลน โดยในเบื้องต้นมีผู้บริหาร พนักงาน เอเชีย แค็บ และคนขับรถแค็บบ์ (CABB Drivers) เข้าร่วมบริจาค
ทางด้าน นางสาวปิยนันท์ คุ้มครอง ผู้ช่วยผู้อำนวยการด้านจัดหาโลหิตและภาพลักษณ์องค์กร ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย กล่าวว่า ศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ สภากาชาดไทย มีพันธกิจในการจัดหาโลหิตให้มีปริมาณเพียงพอ ปลอดภัย และมีคุณภาพ เพื่อนำไปรักษาผู้ป่วยทั่วประเทศ โดยโลหิตที่ได้รับบริจาคจะจ่ายให้กับโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ ร้อยละ 60 และส่งไปยังต่างจังหวัดร้อยละ 40 ซึ่งในปัจจุบัน ผู้ป่วยที่จำเป็นต้องได้รับโลหิตร้อยละ 77 เป็นผู้ที่สูญเสียโลหิตเฉียบพลัน ได้แก่ ผู้ป่วยอุบัติเหตุ ผู้ป่วยผ่าตัด ซึ่งมักจะต้องใช้โลหิตปริมาณมาก ส่วนที่เหลือร้อยละ 23 ใช้กับผู้ป่วยโรคเลือดที่ต้องการรับโลหิตต่อเนื่องตลอดชีวิต โดยเป้าหมายในการจัดหาโลหิตของศูนย์บริการโลหิตแห่งชาติ คือ 2,500-3,000 ยูนิตต่อวัน เพื่อให้มีโลหิตเพียงพอกับความต้องการของผู้ป่วยทั่วประเทศ แต่จากสถานการณ์การระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ปริมาณโลหิตลดลง จนเกิดภาวะโลหิตขาดแคลนไม่เพียงพอ ดังนั้น เมื่อสภากาชาดไทยทราบว่าเอเชีย แค็บ จัดโครงการบริจาคโลหิต แค็บบ์คิดคนละครึ่ง พร้อมทั้งรณรงค์ให้ทีมงานมาร่วมกันบริจาค ก็รู้สึกยินดีและขอบคุณผู้เกี่ยวข้องกับโครงการนี้ทุกคนที่มาร่วมกันรณรงค์ให้มีผู้มาบริจาคโลหิต และเป็นส่วนหนึ่งของการช่วยเหลือผู้ป่วยที่รอโลหิตอยู่ทั่วประเทศ
ที่มา: อินทิเกรเต็ด คอมมูนิเคชั่น