โรงเรียนนานาชาติดีบีเอสมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับคุณโจนาธาน ลิดเดิ้ล ผู้ที่จะมารับตำแหน่งครูใหญ่ของโรงเรียนในปีการศึกษา 2564/2565 ทุกท่านอาจจะยังสงสัยว่าประวัติความเป็นมาของเขาเป็นอย่างไร วันนี้ทางโรงเรียนได้มีโอกาสพูดคุยกับคุณโจนาธาน ลิดเดิ้ล หรือที่เขาอยากให้เราเรียกเขาอย่างเป็นกันเองว่าคุณจอนนี่
คุณจอนนี่ได้เล่าถึงความภาคภูมิใจในวัยเด็กที่เติบโตในเมืองเบลฟาสต์ทางตอนเหนือของไอร์แลนด์ โดยเขาเป็นนักเรียนเพียงคนเดียวในชั้นปีที่ได้เข้าศึกษาต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์
"การได้เรียนต่อที่มหาวิทยาลัยเคมบริดจ์เป็นประสบการณ์ที่ยอดเยี่ยมและแตกต่างจากที่ผมเติบโตมาโดยสิ้นเชิง ที่นี่มีการแข่งขันสูงมาก ผมอยู่ท่ามกลางเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นนักเรียนระดับหัวกะทิที่เก่งที่สุดจากแต่ละโรงเรียน"
คุณจอนนี่เล่าถึงชีวิตในมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบคุณจอนนี่ตั้งใจที่จะพักหาประสบการณ์สัก 1 ปีก่อนศึกษาต่อในระดับชั้นปริญญาโทเพื่อต่อยอดงานด้านสิ่งแวดล้อม แต่ในช่วงที่คุณจอนนี่พัก 1 ปีนั้น กลับเป็นจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเขาได้โอกาสไปทำงานเป็นครูที่เมืองเบลฟาสต์ ซึ่งทำให้เขาได้ค้นพบว่าการสอนนักเรียนคือสิ่งที่เขาชอบและมีความสุขที่จะทำ จนทำให้เขาตัดสินใจสอบ PGCE เพื่อให้ได้ประกาศนียบัตรรับรองการเป็นครูสำหรับผู้สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีในอังกฤษ
"มันเหมือนเป็นความบังเอิญที่ทำให้ผมได้มาเป็นครู ผมอยู่ในครอบครัวที่เป็นครูกันหมด และหลังจากที่ผมเรียนจบมหาวิทยาลัย ในตอนนั้นพี่สาวของผมเป็นครูสอนคณิตศาสตร์และเธอกำลังจะลาคลอด และพวกเขากำลังหาคนที่จะมาสอนแทนเธอ ทางโรงเรียนจึงถามผมว่าสามารถสอนได้ไหม เพียงชั่วข้ามคืนผมก็กลายเป็นครูสอนคณิตศาสตร์ ซึ่งทำให้ผมค้นพบความรักในการสอน จากนั้นผมได้ไปอบรมเพิ่มเติมเพื่อเป็นครูสอนวิทยาศาสตร์ และทำงานที่ลอนดอน ที่นี้ผมสนุกกับการสอนและได้รับโอกาสที่ดีและทำให้ผมเติบโต ผมทำงานที่นั่นอีก 4 ปีก่อนที่จะเริ่มหาประสบการณ์ทำงานในต่างประเทศ ตอนแรกผมตั้งใจจะย้ายไปทำงานที่ประเทศอเมริกาใต้ แต่แล้วผมได้รับโอกาสทำงานที่โรงเรียนอังกฤษที่โตเกียว ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์" คุณจอนนี่อธิบาย
และนี่ก็ได้เป็นจุดเริ่มต้นของเส้นทางระดับนานาชาติของคุณจอนนี่ และยังเป็นที่ที่เขาได้พบกับภรรยา คุณอาริกะ โดยปัจจุบันพวกเขามีลูกสาว 1 คนชื่ออิเลีย
"ผมเจอภรรยาครั้งแรกผ่านเพื่อนของเธอที่สวนโยโยงิในโตเกียว จากนั้นเราสองคนก็ไม่ได้ติดต่อกันเลยเป็นเวลา 2 ปี ในช่วงนั้นงานอดิเรกของผมคือการเป็นดีเจ และผมก็ได้ชวนเธอมาร่วมงานหลายๆงานที่ผมจัดขึ้น ซึ่งในที่สุดเธอก็มาและนั่นทำให้เราได้กลับมาพบกันอีกครั้ง และเรื่องราวของเราก็เริ่มต้นขึ้น" คุณจอนนี่ยิ้มพร้อมเล่าความหลัง
บทบาทที่หลากหลายของคุณจอนนี่ทั้งคุณพ่อ เป็นครูผู้สอน และบริหารโรงเรียนในตำแหน่งคุณครูใหญ่ ทำให้แนวคิดที่มีต่อการเลี้ยงดูและสอนลูกสาวนั้นสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดในการดูแลนักเรียนเฉกเช่นเดียวกัน "ผมอยากให้ลูกสาวของผมอิเลียเติบโตอย่างมีความสุข มีสุขภาพที่แข็งแรง และได้มีโอกาสลองทำในหลายๆอย่างเต็มที่เพื่อที่จะค้นพบสิ่งที่เธอชอบ ผมเชื่อว่าเคล็ดลับในการค้นพบสิ่งที่ชอบจริงๆ คือ การพยายามอย่างเต็มที่เพื่อพัฒนาและสร้างมันขึ้นมา" และลูกสาวของคุณจอนนี่ชื่อ อิเลีย อายุ 7 ขวบและกำลังจะเข้าเรียนระดับชั้น Year 3 ที่โรงเรียนนานาชาติดีบีเอสในปีการศึกษา 2564/65 นี้
นอกจากการสอน งานบริหาร และการเลี้ยงลูก คุณจอนนี่ชอบทำอะไรบ้างในเวลาว่าง?
"ผมหลงใหลในดนตรีมาตลอด ถ้ามีโอกาสผมก็ยังอยากเล่นดนตรี ถึงแม้ว่าตอนนี้จะมีฝีมือไม่เท่าแต่ก่อนแล้วก็ตาม" คุณจอนนี่กล่าว "นอกจากนี้ผมก็ชอบอ่านหนังสือ ชอบท่องเที่ยวด้วย ผมชอบเล่นสโนว์บอร์ดมาก ตอนอยู่ที่ญี่ปุ่นผมเล่นสโนว์บอร์ดปีละ 30 วัน แต่ตอนนี้พอมาอยู่เมืองไทย และเจอสถานการณ์โควิด เลยทำให้ไม่มีโอกาสได้เล่น"
คุณจอนนี่มีความสนใจในเรื่องวิทยาศาสตร์และภาวะโลกร้อน เขาตั้งใจที่จะส่งเสริมโครงการเพื่อลดปริมาณมลพิษที่เกิดขึ้นในดีบีเอส "เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องหนึ่งที่ผมรู้สึกกดดันมาก เพราะอาชีพของผมต้องมีความจำเป็นที่ต้องเดินทางต่างประเทศเป็นประจำ ซึ่งนั่นอาจทำให้ผมเป็นคนนึงที่เพิ่มมลพิษมากกว่าคนทั่วๆไป และนั้นอาจจะไม่อยู่ในจุดที่จะมาสอนใครได้ แต่ตั้งแต่นี้ในฐานะครูใหญ่ที่ดีบีเอส ผมสามารถสร้างเริ่มต้นสร้างการเปลี่ยนแปลงนี้ได้"
คุณจอนนี่ได้แสดงความสามารถอย่างโดดเด่นในตอนที่ทำงานอยู่ที่ญี่ปุ่น หลังจากที่รับตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์เพียง 1 ปี เขาได้เลื่อนตำแหน่งเป็นหัวหน้าฝ่ายวิทยาศาสตร์และฝ่ายเทคโนโลยีสารสนเทศจากนั้นก็ได้เลื่อนตำแหน่งอีกครั้งเป็นผู้ช่วยหัวหน้าฝ่ายวิชาการ ซึ่งทำให้เขาได้มีประสบการณ์ในการพัฒนาโรงเรียน พัฒนาหลักสูตร ตลอดจนการตรวจสอบคุณภาพโรงเรียน ซึ่งในขณะนั้นคุณจอนนี่ยังต้องเจอกับการบริหารในช่วงวิกฤตในเหตุการณ์แผ่นดินไหวเมื่อปี 2554 อีกด้วย
หลังจากนั้นเขาได้ย้ายไปรับตำแหน่งรองครูใหญ่ที่กรุงมิลาน ประเทศอิตาลี และต่อมาได้ย้ายมาทำงานที่โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ ในตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายมัธยม เป็นเวลากว่า 6 ปี
"ในบรรดา 3 โรงเรียนที่ผมได้ทำงานในตำแหน่งผู้บริหาร ผมได้ช่วยผลักดัน และพัฒนานักเรียนให้บรรลุสัมฤทธิผลทางวิชาการอย่างรวดเร็ว" จอนนี่ตอบคำถามเกี่ยวกับบทบาทของเขาในโรงเรียนที่เขาเคยทำงานมาก่อนหน้านี้
ประสบการณ์การทำงานที่สั่งสมมานั้นทำให้คุณจอนนี่มีความพร้อมที่จะสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้ที่ดีบีเอส จากจุดเริ่มต้นเล็กๆ ในการเป็นครูสอนคณิตศาสตร์และวิทยาศาสตร์ในประเทศอังกฤษ จนเริ่มเติบโตขึ้นมาเรื่อยๆจากตำแหน่งหัวหน้าฝ่าย ผู้ช่วยฝ่ายวิชาการที่ญี่ปุ่น รองครูใหญ่ที่ประเทศอิตาลี และหัวหน้าฝ่ายมัธยมที่โรงเรียนนานาชาติฮาร์โรว์กรุงเทพฯ จนมาถึงปัจจุบันในตำแหน่งครูใหญ่ที่โรงเรียนนานาชาติดีบีเอสการที่เขามีประสบการณ์ในการบริหารงานโรงเรียนในหลายๆประเทศที่มีความหลากหลายทางวัฒนธรรมนั้นเป็นจุดเด่นสำคัญของคุณจอนนี่
"ผมโชคดีที่ได้พบกับประสบการณ์ดีๆในการทำงานตั้งแต่แรกเริ่ม" จอนนี่กล่าว "ผมได้พัฒนาสัมฤทธิผลด้านวิชาการของโรงเรียน ผมได้บริหารงานขยายโรงเรียน ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อที่ดีบีเอสที่กำลังขยายอาคารเรียนสำหรับระดับมัธยม"
หลังจากเล่าถึงการเดินทางทั่วโลกของเขามาถึงตอนนี้ จึงได้ถามถึงเหตุผลที่เขาเลือกมาเป็นครูใหญ่ที่ดีบีเอส "เพื่อสร้างสิ่งที่ดีที่สุด" คือ คำตอบของคุณจอนนี่
"ผมรู้สึกว่ามันเป็นโอกาสที่ดีมากๆ ผมอยู่กรุงเทพฯ ผมได้ติดตามข่าวสารของดีบีเอสมาตลอด และได้เห็นถึงพัฒนาการในทุกๆ ปี หรือบางทีก็มีนักเรียนของเราย้ายไปอยู่ที่ดีบีเอส! และการทำงานที่สนุกที่สุดครั้งหนึ่งของผมคือที่โรงเรียนอังกฤษในโตเกียว ซึ่งตอนนั้นกำลังขยายเปิดชั้นมัธยมปลาย เช่นเดียวกับที่ดีบีเอสในตอนนี้ ผมจึงดีใจมากที่จะได้มีส่วนร่วมในงานนี้ที่ดีบีเอสเช่นกัน"
แน่นอนว่าคุณจอนนี่จะต้องยุ่งมากๆไปกับการบริหารโรงเรียน แต่เขาก็ยังไม่ละทิ้งจิตวิญญาณความเป็นครู โดยเขาวางแผนที่จะเป็นครูสอนวิชาฟิสิกส์ด้วยเพราะเป็นสิ่งที่เขารักและทำตลอดมาเพื่อนักเรียน คุณจอนนี่ยังกล่าวถึงแนวทางการเรียนการสอนที่เขาตั้งเป้าไว้สำหรับนักเรียนดีบีเอส และอีกเรื่องที่เขาต้องการเน้นเป็นพิเศษคือ การพัฒนาทักษะแห่งศตวรรษที่ 21
"เรื่องที่ทุกโรงเรียนต้องพูดถึงกันในช่วงนี้คงไม่พ้นเรื่องของทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 และมีหลายโรงเรียนที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มากเกินไป โดยให้ความสำคัญกับทักษะมากกว่าความรู้ ซึ่งจริงๆแล้วมันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่คนเราจะมีทักษะโดยปราศจากความรู้เชิงลึกในเรื่องนั้นๆ ผมเคยถกกับเพื่อนร่วมงานที่มักบอกว่า 'เดี๋ยวเขาใช้ Google ก็ได้' แต่ว่าคุณจะจ้างช่างประปาที่ค้น Google หาวิธีการซ่อมหรือไม่? หรือคุณจะจ้างทนายที่ไม่ได้มีความรู้ด้านกฎหมายหรือไม่? สำหรับผม ทักษะแห่งศตวรรษที่ 21 จะพัฒนามากขึ้นหากนักเรียนมีความรู้ความเข้าใจที่ลึกซึ้งและรู้จักการเชื่อมโยงความรู้เหล่านั้นได้ดี" คุณจอนนี่แสดงความคิดเห็น
เขาเชื่อว่า การจะเป็นโรงเรียนที่มีชื่อเสียงในระดับภูมิภาคนั้น เราจะต้องพัฒนานักเรียนให้เพียบพร้อมไปด้วย 'ความรู้อันทรงพลัง' เขาได้เผยแผนของเขาว่า นักเรียนดีบีเอสจะต้องมีความรู้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้ง ผ่านการสอนที่มีประสิทธิภาพ และต้องเปิดโอกาสให้นักเรียนได้ค้นหาความรู้เพิ่มเติมและสามารถเชื่อมโยงความรู้ได้
"ในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า โรงเรียนนานาชาติดีบีเอสจะส่งนักเรียนไปยังมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดทั่วโลก และผมต้องการสร้างดีบีเอสให้เป็นโรงเรียนนานาชาติระบบโรงเรียนเอกชนของประเทศอังกฤษที่ดีที่สุดในประเทศไทย ดีบีเอสจะเป็นโรงเรียนที่ผู้ปกครองที่กำลังมองหาโรงเรียนชั้นนำในระบบอังกฤษนึกถึงเป็นอันดับแรกๆ"
ที่มา: โรงเรียนนานาชาติดีบีเอส