" การที่กองทุนฟื้นฟูฯได้นำเสนอเพื่อขอมติเห็นชอบและอนุมัติ เป็นการดำเนินการตามหลักการที่ว่า ที่เคยได้อยู่ก็จะไม่หาย เพราะที่ผ่านมานั้น ประสบปัญหาว่า บริษัทบริหารสินทรัพย์ ได้มีการตั้งบริษัทลูกขึ้นมา เพื่อเพื่อรับในส่วนของหนี้เสียไปบริหารจัดการ ลูกหนี้ที่เกษตรกรสมาชิกของกองทุนฟื้นฟูฯ จึงประสบปัญหาว่า รายชื่อถูกตัดออกทำให้เกิดปัญหาในการเข้าไปช่วยจัดการหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ เพราะตามระเบียบนั้น การที่กองทุนฟื้นฟูฯ จะสามารถเข้าไปจัดการได้ ต้องเป็นหนี้ที่คณะกรรมการจัดการหนี้ประกาศให้เป็นเจ้าหนี้ในระบบ แต่พอมีการดำเนินการในรูปแบบดังกล่าวขึ้น จึงทำให้เกิดปัญหาตามมา จึงนำมาสู่การขออนุมัติดังกล่าวเพื่อการรักษาที่ดินทำกินไว้ให้กับเกษตรกร "
นายยศวัจน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ส่วนความคืบหน้าของการจัดสรรงบประมาณ และการขอแปรญัตติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2565 ของ กฟก. วงเงิน 9,718 ล้านบาท ประกอบไปด้วย งบบริหารสำนักงาน 1.7 พันล้านบาท งบเพื่อการฟื้นฟู จำนวน 4 พันล้านบาท และงบเพื่อการจัดการหนี้เกษตรกร 4 พันล้านบาท ขณะนี้อยู่ระหว่างขั้นตอนการเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี โดยสำนักงบประมาณจะต้องนำเสนอผ่านทางรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ให้เป็นผู้เสนองบประมาณ หากคณะรัฐมนตรีอนุมัติ ขั้นตอนต่อไปจะเข้าการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2565 ซึ่งคาดว่าจะอยู่ในส่วนของคณะกรรมาธิการ 9
" หากการขอจัดสรรงบประมาณของปี 2565 ได้รับการอนุมัติจะทำให้กองทุนฟื้นฟูฯ มีงบประมาณเพียงพอต่อการดำเนินงานไปถึง 3 ปี เพราะจะนำมาเป็นทุนหมุนเวียนในการช่วยเหลือเกษตรกรสมาชิก
ที่ผ่านมานั้นกองทุนฟื้นฟูฯ ถูกมองว่า ไปทำให้เกษตรกรเสียวินัยทางการเงินกับสถาบันการเงิน กลายเป็นโจทย์ของสถาบันแทน ตรงนี้ต้องขออธิบายว่า กองทุนฟื้นฟูฯ เป็นเพียงผู้เข้ามาแก้ปัญหาระหว่างลูกหนี้กับเจ้าหนี้ ที่ตกลงกันไม่ได้แล้วเกิดปัญหา และส่งผลให้เกษตรกรต้องสูญเสียที่ดินทำกิน เกษตรกรต้องเผชิญชะตากรรมที่มีชีวิตเป็นเกษตรกรแต่ไม่มีที่ดินเพื่อที่จะทำการเกษตร เป็นแค่ลูกจ้างที่ทำการเกษตร ดังนั้นสิ่งที่กองทุนฟื้นฟูฯ ต้องการคือ การแก้ปัญหาหนี้รักษาที่ดินจากนั้นสนับสนุนด้านฟื้นฟูอาชีพ ให้ยังคงต่อไปได้" นายยศวัจน์ กล่าวในที่สุด
ที่มา: สำนักงานกองทุนฟื้นฟูและพัฒนาเกษตรกร