ธนาคารทิสโก้แนะซื้อ 4 เมกะเทรนด์จีนโตเด่นตามแผนพัฒนา ฯ เดินเกมรุกช่วงฝุ่นตลบ ชิงจังหวะช้อนหุ้นราคาถูก

พุธ ๐๔ สิงหาคม ๒๐๒๑ ๑๗:๒๒
ธนาคารทิสโก้ชี้ 4 ธีมหุ้นเมกะเทรนด์จีนยังมีศักยภาพโตสูงตามแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับใหม่ของจีน แนะใช้โอกาสหุ้นจีนร่วงหนักจากการจัดระเบียบของรัฐบาล ช้อนซื้อหุ้นเทคโนโลยีเพิ่มหลังราคาต่ำกว่าหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ในรอบ 10 ปี ย้ำเป็นโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว

นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนลดลงแรง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจนทำให้มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 10 ปี เพราะได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงหลังทางการจีนใช้มาตรการที่เข้มงวดกับหุ้นกลุ่มบริษัทกวดวิชาที่เติบโตอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจีนกำลังเข้ามากำกับธุรกิจเกมออนไลน์ที่มีเยาวชนของจีนเล่นกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งจากนโยบายการจัดระเบียบบริษัทเอกชน 4 ด้าน คือ 1. ต่อต้านการผูกขาดการค้า 2. ควบคุมเสถียรภาพทางการเงิน 3. ดูแลความปลอดภัยด้านข้อมูล และ 4. ความเท่าเทียมกันของสังคม

อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ธนาคารทิสโก้คาดว่าจะเป็นเพียงปัจจัยลบในระยะสั้นเท่านั้น และเชื่อว่ารัฐบาลจีนต้องการ 'จัดระเบียบ' มากกว่าทำลายธุรกิจเทคโนโลยี เพราะปัจจุบันจีนมีสัดส่วนของ "ดิจิทัล อีโคโนมี" มากถึง 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 1 ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเองก็ถือเป็นตัวชี้นำดัชนี MSCI China Index เพราะมีสัดส่วนมากถึง 40% ของมูลค่าตลาด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของธุรกิจเทคโนโลยีจีนที่มีต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นจีน อีกทั้ง ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของจีนก็จัดประชุมกับผู้บริหารของธนาคารในจีนเพื่อสื่อสารว่า นโยบายที่เกิดขึ้นกับบริษัทกลุ่มการศึกษาจะไม่ถูกขยายผลไปยังอุตสาหกรรมอื่น
ทั้งนี้ จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีจีน (Valuation) พบว่าอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของหุ้นเทคโนโลยีจีน ในดัชนี CSI 300 ลดลงมาเทรดที่ระดับต่ำกว่าของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ใน ดัชนี S&P 500 โดยเทรดที่ระดับต่ำกว่าถึง 5% ในรอบ 10 ปี บ่งชี้ว่าหุ้นเทคโนโลยีได้ปรับลดลงรับข่าวดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว อีกทั้ง การวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดของหุ้นจีน (MSCI China Max Drawdown (%)) ในขณะนี้ได้ปรับลงมาใกล้เคียงกับช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในปี 2561 แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นตลาดหุ้นจีนใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี ก็สามารถฟื้นตัวได้กว่า 30% และกลับมายืนได้ในจุดเดิม

นายณัฐกฤติกล่าวว่า จากเหตุผลข้างต้นธนาคารทิสโก้จึงมองว่า ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 'เมกะเทรนด์ของจีน' ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่จีนมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก มีแนวโน้มในการเติบโตอย่างชัดเจน และได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568 (China's 14th Five-Year Plan) โดยมี 4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว ดังนี้

1. กลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumption) เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากพลังการบริโภคของประชากรจีนที่มีจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ตั้งเป้าจะยกระดับการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) ให้ขยายตัวขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่ารายได้ภาคครัวเรือนของคนจีนจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าตัวภายในปี 2573 จากระดับปัจจุบันที่ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปเป็น 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยในจีนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

ซึ่งปัจจุบันช่องทางการบริโภคหลักของคนจีน จะมาจากส่วนของออนไลน์ (Online Retails) หรือ อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าผ่านช่องทาง E-commerce ของประเทศจีนอยู่ที่ระดับ 2.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 45% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด ใหญ่กว่ายอดขาย E-commerce ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.94 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงเกือบสามเท่าตัว ทั้งนี้ eMarketer คาดการณ์ว่าตลาด E-commerce ของจีนจะยังเติบโตขึ้นอีก 21% ในปี 2564 ขึ้นไปแตะระดับ 2.77 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ

2. กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) ถือเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่สำคัญของจีนที่รัฐบาลต้องการพัฒนาสินค้า ด้วยการับจ้างผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมมากขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็มาจากกอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรจีนที่เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นกว่า 1,000 ล้านคน หรือ คิดเป็น 67% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยบริการที่คนจีนนิยมใช้งานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ได้แก่ การค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ (Online Payment) รวมไปถึงการเล่นเกมหรือดูวิดีโอต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ ทำให้กิจการที่ขายสินค้าหรือให้บริการผ่านระบบ Internet ในประเทศจีนมีโอกาสเติบโตอีกมาก และในอนาคตรัฐบาลจีนยังคงวางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้ง 5G, AI, Internet of Things, Semiconductors และ Smart Cities ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว

3. กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่ได้ประโยชน์จากลักษณะโครงสร้างประชากรของประเทศที่กำลังมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจีนกำลังจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ภายในปี 2568 ซึ่งประชากรผู้สูงอายุมีโอกาสในการเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงชนิดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตาม ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังได้มีแผนการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม Healthcare ผ่าน "Healthy China 2030 Plan" ด้วยการพัฒนาคุณภาพยาร่วมกับต่างชาติ เพิ่มความคล่องตัวในการอนุมัติยาตัวใหม่ ตลอดจนเพิ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอุตสาหกรรม Healthcare โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17.7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงแค่ราว 4.5% ต่อปี

ทั้งนี้ ความต้องการในสินค้าและบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นนั้น จะส่งผลให้บริษัทในกลุ่ม Healthcare อย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตยา บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ โรงพยาบาล ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และการพบแพทย์ทางออนไลน์ (Telemedicine) เป็นกิจการที่ได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ของสังคมผู้สูงอายุในจีน

4. กลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Technology) จากปัจจุบันที่จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของโลก รัฐบาลจีนจึงได้ตั้งเป้าว่าจีนจะต้องเป็นประเทศที่ "ปลอดคาร์บอน" ให้ได้ภายในปี 2603 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ สถานีชาร์จและรถยนต์ไฟฟ้า

โดยปัจจุบันจีนถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถทำยอดขายรถยนต์ EVs ได้สูงถึง 1.3 ล้านคันในปี 2563 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังสามารถเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 12 ล้านคันได้ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 25% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังเติบโตได้อีกไกลมาก

ที่มา: ธนาคารทิสโก้

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๒๒ พ.ย. รีเลชั่นชิพรีพับบลิค แนะกลยุทธ์สำคัญ นำพาธุรกิจร้านอาหารสู่ความสำเร็จ มัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด
๒๒ พ.ย. ชมนวัตกรรมสุดล้ำในงาน METALEX 2024 หลายแบรนด์แกะกล่องเครื่องจักรครั้งแรกในงานนี้
๒๒ พ.ย. Bangkok Illustration Fair 2024 สู่การเติบโตก้าวใหญ่ในปีที่ 4
๒๒ พ.ย. ผลการจัดอันดับขีดความสามารถในการแข่งขันด้านดิจิทัลโดย IMD ประจำปี 2567 TMA เผยไทยครองอันดับ 37 ในการจัดอันดับด้านดิจิทัลปีนี้
๒๒ พ.ย. โก โฮลเซลล์ จัดเต็มสินค้า ส่งสุข สุดอร่อย เฉลิมฉลองเทศกาลส่งท้ายปี เข้มกระเช้าปีใหม่ดีมีมาตรฐาน พร้อมชู อาหารแช่แข็ง-อาหารสด
๒๒ พ.ย. กทม. จับมือสถานทูตเนเธอร์แลนด์ ประจำประเทศไทย จัดประชุมเชิงปฏิบัติการ ACTIVE Workshop เมืองเดินเท้า และจักรยานสัญจร ครั้งที่
๒๒ พ.ย. สัมผัสความหรูหราของวิลล่าริมทะเล VEYLA NATAI RESIDENCES ผ่านประสบการณ์เหนือระดับในงาน SOUL of VEYLA
๒๒ พ.ย. 'แอสเซทไวส์' จับมือ 'สยามกีฬา' เปิดศึกลูกหนังยุวชนทัวร์นาเมนต์ใหญ่แห่งปี AssetWise Siamkeela Cup 2024-25 ต่อเนื่องเป็นปีที่
๒๒ พ.ย. โรงแรมเรเนซองส์ เปิดตัว R FINDS แพลตฟอร์มดิจิทัลระดับโลก ที่จะเชื่อมมนต์เสน่ห์ชุมชนท้องถิ่นสู่นักเดินทางทั่วโลก
๒๒ พ.ย. electric.neon.lamp หยิบเพลงฮิต แม้ ใส่ฟีลดนตรีเหงาปนเศร้าในแบบ Piano Version