นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่าในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดหุ้นจีนลดลงแรง นำโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีจนทำให้มูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่ต่ำกว่าหุ้นเทคโนโลยีของสหรัฐฯ เป็นครั้งแรก ในรอบกว่า 10 ปี เพราะได้รับแรงกดดันอย่างรุนแรงหลังทางการจีนใช้มาตรการที่เข้มงวดกับหุ้นกลุ่มบริษัทกวดวิชาที่เติบโตอย่างมากในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ ยังมีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจีนกำลังเข้ามากำกับธุรกิจเกมออนไลน์ที่มีเยาวชนของจีนเล่นกันเป็นจำนวนมาก ซึ่งเหตุการณ์นี้เป็นส่วนหนึ่งจากนโยบายการจัดระเบียบบริษัทเอกชน 4 ด้าน คือ 1. ต่อต้านการผูกขาดการค้า 2. ควบคุมเสถียรภาพทางการเงิน 3. ดูแลความปลอดภัยด้านข้อมูล และ 4. ความเท่าเทียมกันของสังคม
อย่างไรก็ตาม จากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ธนาคารทิสโก้คาดว่าจะเป็นเพียงปัจจัยลบในระยะสั้นเท่านั้น และเชื่อว่ารัฐบาลจีนต้องการ 'จัดระเบียบ' มากกว่าทำลายธุรกิจเทคโนโลยี เพราะปัจจุบันจีนมีสัดส่วนของ "ดิจิทัล อีโคโนมี" มากถึง 40% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 1 ในขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเองก็ถือเป็นตัวชี้นำดัชนี MSCI China Index เพราะมีสัดส่วนมากถึง 40% ของมูลค่าตลาด สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของธุรกิจเทคโนโลยีจีนที่มีต่อทั้งระบบเศรษฐกิจ และตลาดหุ้นจีน อีกทั้ง ล่าสุดสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ของจีนก็จัดประชุมกับผู้บริหารของธนาคารในจีนเพื่อสื่อสารว่า นโยบายที่เกิดขึ้นกับบริษัทกลุ่มการศึกษาจะไม่ถูกขยายผลไปยังอุตสาหกรรมอื่น
ทั้งนี้ จากราคาหุ้นที่ปรับตัวลงมา เมื่อพิจารณาถึงมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีจีน (Valuation) พบว่าอัตราราคาปิดต่อกำไรต่อหุ้นล่วงหน้า (Forward P/E) ของหุ้นเทคโนโลยีจีน ในดัชนี CSI 300 ลดลงมาเทรดที่ระดับต่ำกว่าของหุ้นเทคโนโลยีสหรัฐฯ ใน ดัชนี S&P 500 โดยเทรดที่ระดับต่ำกว่าถึง 5% ในรอบ 10 ปี บ่งชี้ว่าหุ้นเทคโนโลยีได้ปรับลดลงรับข่าวดังกล่าวไปพอสมควรแล้ว อีกทั้ง การวัดระดับผลตอบแทนขาดทุนสูงสุดในอดีตที่ผ่านมาเมื่อเทียบจากจุดที่เคยได้รับผลตอบแทนสูงที่สุดของหุ้นจีน (MSCI China Max Drawdown (%)) ในขณะนี้ได้ปรับลงมาใกล้เคียงกับช่วงสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน ในปี 2561 แล้ว ซึ่งในช่วงนั้นตลาดหุ้นจีนใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี ก็สามารถฟื้นตัวได้กว่า 30% และกลับมายืนได้ในจุดเดิม
นายณัฐกฤติกล่าวว่า จากเหตุผลข้างต้นธนาคารทิสโก้จึงมองว่า ในช่วงนี้เป็นจังหวะที่ดีสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในหุ้น 'เมกะเทรนด์ของจีน' ที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่โดดเด่นในระยะยาว โดยมุ่งเน้นไปที่อุตสาหกรรมที่จีนมีความสามารถในการแข่งขันระดับโลก มีแนวโน้มในการเติบโตอย่างชัดเจน และได้รับการสนับสนุนเชิงนโยบายจากทางภาครัฐจากแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 14 ซึ่งบังคับใช้ตั้งแต่ปี 2564 - 2568 (China's 14th Five-Year Plan) โดยมี 4 ธีมเมกะเทรนด์ของหุ้นจีนที่น่าสนใจในการลงทุนระยะยาว ดังนี้
1. กลุ่มอุปโภคบริโภค (Consumption) เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์โดยตรงจากพลังการบริโภคของประชากรจีนที่มีจำนวนกว่า 1,400 ล้านคน ซึ่งได้รับปัจจัยสนับสนุนจากนโยบายภาครัฐที่ตั้งเป้าจะยกระดับการบริโภคในประเทศ (Domestic Consumption) ให้ขยายตัวขึ้น และลดการพึ่งพาตลาดต่างประเทศ โดยคาดการณ์ว่ารายได้ภาคครัวเรือนของคนจีนจะเพิ่มขึ้นอีกสองเท่าตัวภายในปี 2573 จากระดับปัจจุบันที่ 6,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ขึ้นไปเป็น 12,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้กำลังซื้อที่เพิ่มขึ้นจะช่วยหนุนให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคสินค้าฟุ่มเฟือยในจีนสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งปัจจุบันช่องทางการบริโภคหลักของคนจีน จะมาจากส่วนของออนไลน์ (Online Retails) หรือ อีคอมเมิร์ซ (E-commerce) ที่ถือได้ว่ามีขนาดใหญ่ที่สุดในโลก โดยในปี 2563 ที่ผ่านมา ยอดขายสินค้าผ่านช่องทาง E-commerce ของประเทศจีนอยู่ที่ระดับ 2.29 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ คิดเป็นสัดส่วน 45% ของยอดค้าปลีกทั้งหมด ใหญ่กว่ายอดขาย E-commerce ของสหรัฐฯ ซึ่งอยู่ที่ระดับ 7.94 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ถึงเกือบสามเท่าตัว ทั้งนี้ eMarketer คาดการณ์ว่าตลาด E-commerce ของจีนจะยังเติบโตขึ้นอีก 21% ในปี 2564 ขึ้นไปแตะระดับ 2.77 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ
2. กลุ่มเทคโนโลยี (Technology) ถือเป็นอีกกลุ่มธุรกิจที่สำคัญของจีนที่รัฐบาลต้องการพัฒนาสินค้า ด้วยการับจ้างผลิตสินค้าที่มีนวัตกรรมมากขึ้น โดยปัจจัยที่ทำให้การพัฒนาด้านเทคโนโลยีของจีนเติบโตได้อย่างรวดเร็ว ส่วนหนึ่งก็มาจากกอัตราการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตของประชากรจีนที่เพิ่มสูงขึ้นมาเป็นกว่า 1,000 ล้านคน หรือ คิดเป็น 67% ของจำนวนประชากรทั้งหมด โดยบริการที่คนจีนนิยมใช้งานผ่านระบบอินเทอร์เน็ต ได้แก่ การค้นหาข้อมูลผ่าน Search Engine การชำระเงินผ่านระบบออนไลน์ (Online Payment) รวมไปถึงการเล่นเกมหรือดูวิดีโอต่างๆ ผ่านระบบออนไลน์ ทำให้กิจการที่ขายสินค้าหรือให้บริการผ่านระบบ Internet ในประเทศจีนมีโอกาสเติบโตอีกมาก และในอนาคตรัฐบาลจีนยังคงวางเป้าหมายเชิงยุทธศาสตร์ในการก้าวขึ้นเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยี 5.0 ทั้ง 5G, AI, Internet of Things, Semiconductors และ Smart Cities ซึ่งส่งผลให้หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของจีนยังมีศักยภาพในการเติบโตระยะยาว
3. กลุ่มเฮลธ์แคร์ (Healthcare) ที่ได้ประโยชน์จากลักษณะโครงสร้างประชากรของประเทศที่กำลังมีสัดส่วนของผู้สูงอายุที่มากขึ้นอย่างต่อเนื่อง และคาดว่าจีนกำลังจะเข้าสู่การเป็นสังคมผู้สูงอายุ (Ageing Society) ภายในปี 2568 ซึ่งประชากรผู้สูงอายุมีโอกาสในการเจ็บป่วยเป็นโรคร้ายแรงชนิดต่างๆ ที่เพิ่มขึ้น และค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลมีแนวโน้มปรับตัวเพิ่มสูงขึ้นตาม ทั้งนี้ รัฐบาลจีนยังได้มีแผนการส่งเสริมการพัฒนาอุตสาหกรรม Healthcare ผ่าน "Healthy China 2030 Plan" ด้วยการพัฒนาคุณภาพยาร่วมกับต่างชาติ เพิ่มความคล่องตัวในการอนุมัติยาตัวใหม่ ตลอดจนเพิ่มงบประมาณในด้านการวิจัยและพัฒนา (R&D) ในอุตสาหกรรม Healthcare โดยในช่วง 3 ปีข้างหน้าคาดว่าจะเพิ่มขึ้นโดยเฉลี่ยถึง 17.7% ต่อปี สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั่วโลกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเฉลี่ยเพียงแค่ราว 4.5% ต่อปี
ทั้งนี้ ความต้องการในสินค้าและบริการทางการแพทย์ที่เพิ่มขึ้นนั้น จะส่งผลให้บริษัทในกลุ่ม Healthcare อย่างเช่น บริษัทผู้ผลิตยา บริษัทเทคโนโลยีชีวภาพ โรงพยาบาล ผู้ผลิตอุปกรณ์การแพทย์ และการพบแพทย์ทางออนไลน์ (Telemedicine) เป็นกิจการที่ได้รับประโยชน์จากเมกะเทรนด์ของสังคมผู้สูงอายุในจีน
4. กลุ่มพลังงานสะอาด (Clean Technology) จากปัจจุบันที่จีนเป็นประเทศที่ปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็นสัดส่วนราว 30% ของโลก รัฐบาลจีนจึงได้ตั้งเป้าว่าจีนจะต้องเป็นประเทศที่ "ปลอดคาร์บอน" ให้ได้ภายในปี 2603 ส่งผลให้อุตสาหกรรมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานทดแทนได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาลในการเพิ่มกำลังการผลิต รวมถึงอุตสาหกรรมแบตเตอรี่ สถานีชาร์จและรถยนต์ไฟฟ้า
โดยปัจจุบันจีนถือเป็นตลาดรถยนต์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกและสามารถทำยอดขายรถยนต์ EVs ได้สูงถึง 1.3 ล้านคันในปี 2563 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ ได้มีการคาดการณ์ว่า ยอดขายรถยนต์ไฟฟ้าในจีนจะยังสามารถเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องสู่ระดับ 12 ล้านคันได้ภายในปี 2573 หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยทบต้นที่สูงถึง 25% ต่อปี สะท้อนให้เห็นว่าอุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าของจีนยังเติบโตได้อีกไกลมาก
ที่มา: ธนาคารทิสโก้