นายประกรณ์ เมฆจำเริญ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สตาร์ค คอร์เปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STARK เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 6/2564 มีมติอนุมัติให้บริษัทเข้าลงทุนใน "บริษัท ไทย เอ็นคอม จำกัด" หรือ TENCOM ซึ่งดำเนินธุรกิจเกี่ยวกับพลังงานและพลังงานทดแทน และการจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ธุรกิจที่เกี่ยวกับเทคโนโลยีและการสื่อสาร ธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ธุรกิจการตั้งศูนย์ข้อมูล และธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง โดยร่วมกับ "บริษัท พีอีเอ เอ็นคอม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด" หรือ PEA ENCOM ซึ่งใช้กระแสเงินสดภายในบริษัท
"บริษัทจะเข้าไปซื้อหุ้นสามัญของ TENCOM ภายในเดือนสิงหาคม 2564 จำนวนรวม 650 หุ้น คิดเป็นสัดส่วนร้อยละ 65 ของทุนจดทะเบียนทั้งหมด ด้วยมูลค่า 65,000 บาท ซึ่งจะส่งผลให้กลายมาเป็นบริษัทย่อยทันที และภายใน 2 เดือนหลังจากเข้าซื้อหุ้นที่ออกไว้เดิมเสร็จสิ้นแล้ว STARKจะดำเนินจากจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนของ TENCOM เพิ่มเติมอีกจำนวน 649,935 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้ 100 บาท ซึ่งจะเป็นการทำรายการได้มาซึ่งทรัพย์สิน โดยมีมูลค่ารายการเท่ากับ 64,935,000 บาท สำหรับวัตถุประสงค์การลงทุนครั้งนี้ เพื่อขยายธุรกิจไปในกลุ่มธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับพลังงานทดแทน และเทคโนโลยีเพื่อเพิ่มโอกาสในการเติบโตให้สอดคล้องกับแนวโน้มสถานการณ์โลกในปัจจุบัน"
ทั้งนี้ TENCOM มีทุนจดทะเบียนเดิมอยู่ที่ 100,000 บาท แบ่งเป็น 1,000 หุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 100 บาท และหลังจากการเข้าทำธุรกรรมดังกล่าว มีการเพิ่มทุนจดทะเบียนอยู่ที่ 100,000,000 บาท แบ่งเป็น 1,000,000 หุ้น
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กล่าวถึงภาพรวมผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 (สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564) บริษัทฯ มีรายได้หลัก 5,252 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 4,240 ล้านบาท ขณะที่มีกำไรสุทธิ (ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) 524 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 22.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 427 ล้านบาท
ส่วนผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน บริษัทฯ มีรายได้ 9,908 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีรายได้หลัก 7,261 ล้านบาท ขณะที่มีกำไร(ส่วนของผู้ถือหุ้นใหญ่) 963 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 39.9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร 688 ล้านบาท
ปัจจัยที่สนับสนุนให้ผลการดำเนินงานมีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง เนื่องจากการรับรู้ยอดขายที่ปรับตัวสูงขึ้นจากโครงการภาครัฐและเอกชนที่ดำเนินการก่อสร้างอย่างต่อเนื่องตามแผนงานและกำหนดการ ประกอบกับผลประกอบการของธุรกิจที่ประเทศเวียดนาม มีอัตราการเติบโตที่ดีทั้งในส่วนรายได้และกำไรเช่นกัน
ทั้งนี้ ด้วยสถานการณ์ COVID-19 บริษัทได้ติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดและออกมาตรการป้องกันอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ความมั่นใจแก่ลูกค้า พนักงาน และชุมชน ดังนั้นบริษัทสามารถดำเนินกิจการได้อย่างปกติโดยได้ผลกระทบจากการประกาศล็อกดาวน์เพียงเล็กน้อยเท่านั้น อาทิเช่น ข้อจำกัดด้านการขนส่งสินค้า ลูกค้าชะลอการรับสินค้าเนื่องจากไซต์ก่อสร้างปิด ทำให้ลูกค้าขอเลื่อนกำหนดส่งมอบสินค้าเป็นการชั่วคราว ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้า High margin ทั้งนี้ หากไม่เกิดเหตุการณ์ดังกล่าวและบริษัทสามารถส่งมอบสินค้าได้ตามกำหนดจะส่งผลทำให้มีกำไรในไตรมาส 2 เพิ่มขึ้นอีกประมาณ 132 ล้านบาท ดังนั้น บริษัทจะมีกำไรสุทธิประมาณ 659 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564 และ 1,101 ล้านบาทในงวด 6 เดือนปี 2564 ทั้งนี้ บริษัทฯ จะดำเนินการทยอยส่งสินค้าดังกล่าวในไตรมาสต่อไปภายในปี 2564 ภายใต้มาตราการและประกาศของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
"แผนการดำเนินธุรกิจในปี 2564 ยังคงเป้าหมายรายได้ในปีนี้ เติบโต 15-20% และมั่นใจว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ได้ต่อเนื่อง โดยจะมาจากรายได้หลักคือ ธุรกิจสายไฟฟ้า และสายเคเบิ้ล มีแนวโน้มการเติบโตที่ดีไปพร้อมกับอุตสาหกรรมไฟฟ้าทั้งในและต่างประเทศ และยังคงมุ่งเน้นการขายสินค้าในกลุ่มที่มีความสามารถในการทำกำไรได้สูง (High Margin) ขณะที่ปัจจุบัน บริษัทฯ ยังมีงานในมือที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) อยู่ที่ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านบาท โดยเป็นงานทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งจะทยอยรับรู้ต่อเนื่อง"นายประกรณ์กล่าวในที่สุด
ที่มา: ไออาร์ เน็ตเวิร์ค