นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด (Mr. Apichat Poobunjirdkul, Senior Strategist, TISCO Securities Co., Ltd) เปิดเผยว่า ภาพรวมกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2654 ของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) อยู่ที่ 2.75 แสนล้านบาท (626 บริษัทจากทั้งหมด 650 บริษัทใน SET), เติบโตก้าวกระโดด +118% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน (YoY) และเพิ่มขึ้นเล็กน้อย +3% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน (QoQ) โดยหลายกลุ่มอุตสาหกรรมมีกำไรเติบโตสูง YoY เนื่องจากฐานกำไรไตรมาส 2 ของปีที่แล้วที่ต่ำมาก เพราะเจอการล็อกดาวน์เต็มรูปแบบ แต่กลุ่มที่ยังมีผลการดำเนินงานขาดทุนอยู่คือ กลุ่ม TOURISM เนื่องจากไม่มีนักท่องเที่ยวต่างชาติ และยังคงได้รับผลกระทบจากมาตรการล็อกดาวน์
หากเปรียบเทียบกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2564 ที่ประกาศออกมากับประมาณการของตลาดโดยรวม (Bloomberg Consensus) จำนวน 206 บริษัท จะมีกำไรสุทธิรวมอยู่ที่ 2.43 แสนล้านบาท ดีกว่าคาด 10% จากที่ประเมินไว้ที่ 2.21 แสนล้านบาท โดยแบ่งเป็น 96 บริษัทมีงบดีกว่าคาด (เพิ่มขึ้นกว่าคาดมากกว่า 5%), 50 บริษัทมีงบตามคาด (เพิ่มขึ้นหรือลดลง ระหว่าง +/- 5%) และ 60 บริษัทมีงบแย่กว่าคาด (ลดลงกว่าคาด -5%) หรือคิดเป็นสัดส่วน 47% : 24% : 29% ตามลำดับ
ถึงแม้ผลประกอบการในช่วง ไตรมาส 2/2564ส่วนใหญ่จะดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ แต่กำไรบริษัทจดทะเบียนน่าจะผ่านจุดสูงสุดของปีนี้ไปแล้ว บล.ทิสโก้มองว่า ประมาณการกำไรของตลาดโดยรวม (SET EPS) มีแนวโน้มปรับลง เพื่อสะท้อนทิศทางราคาน้ำมันที่ปรับตัวลง และผลกระทบจากสถานการณ์ระบาดที่ยืดเยื้อ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากการใช้มาตรการควบคุมการระบาดเกินกว่าสิ้นเดือนสิงหาคม
ทั้งนี้ ประมาณการ SET EPS ของตลาดในปี 2564 ยังทรงตัวในระดับสูงที่ 85.0 บาทต่อหุ้น ซึ่งส่วนหนึ่งบล.ทิสโก้เชื่อว่าตลาดยังคาดหวังเชิงบวกต่อมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจล็อตใหม่ในช่วงปลายปีนี้ แต่อย่างไรก็ดีประมาณการกำไรล่วงหน้าปี 2565 เริ่มมีสัญญาณปรับลงในเดือนสิงหาคมเป็นเดือนแรกของปีนี้ โดยล่าสุดอยู่ที่ 95.8 บาทต่อหุ้น เทียบจากเดือนก่อนหน้าที่อยู่ที่ 96.3 บาทต่อหุ้น
นอกจากนี้ ในช่วง 1-2 เดือนนี้ บล.ทิสโก้แนะนำให้ติดตามสัญญาณการดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดขึ้น (Hawkish) ของธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) โดยเฉพาะการประชุม Jackson Hole Economic Symposium ในวันที่ 26-28 สิงหาคมนี้ ว่าจะเริ่มต้นส่งสัญญาณการลดทอนการเข้าซื้อสินทรัพย์ลงหรือไม่ (QE Tapering) และการประชุม FED ในวันที่ 21-22 กันยายน ที่จะมีการเปิดเผยคาดการณ์อัตราดอกเบี้ย (Dot Plot) สำหรับปี 2567 เป็นครั้งแรก ซึ่งอาจสะท้อนแนวโน้มการขึ้นดอกเบี้ยที่ต่อเนื่องจากปี 2566 หลังจากที่การประชุม FED เมื่อเดือนมิถุนายน ที่ผ่านมา เพิ่งมีการปรับ Dot plot ขึ้น 2 ครั้งภายในสิ้นปี 2566 เทียบจากเดิมไม่คาดจะเปลี่ยนแปลงตลอดทั้งปี 2566 ถึงแม้บล.ทิสโก้จะไม่เชื่อว่าการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของสหรัฐฯ ที่เข้มงวดขึ้น (Hawkish) จะเป็นจุดจบของตลาดหุ้นโลกขาขึ้น แต่น่าจะกดดันให้ตลาดหุ้นเกิดการปรับฐานลงได้ หลังจากที่ปรับตัวขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ทุกเดือนตลอดทั้งปีนี้
สำหรับธีมหุ้นแนะนำเทรดดิ้งในระยะสั้น คือ
1. หุ้นที่ตลาดมีโอกาสปรับมุมมองในเชิงบวกขึ้นหลังงบไตรมาส 2 ดีกว่าคาดและไตรมาส 3 มีแนวโน้มดีต่อ คือ AH, BCH, IVL, JWD, PTTGC, SAT, SFT, SMPC, TPIPL, VIBHA และ WICE
2. หุ้นอิงดีมานด์ในต่างประเทศและได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า คือ กลุ่ม ETRON ได้แก่ KCE และ HANA กลุ่ม FOOD ได้แก่ CBG, GFPT, SAPPE และ TU กลุ่ม TRANS (เดินเรือและ โลจิสติกส์) ได้แก่ PSL, TTA, JWD และ WICE
3. หุ้นคาดรับอานิสงส์เชิงบวกจากการระบาดและการล็อกดาวน์ยืดเยื้อ คือ กลุ่ม HELTH ได้แก่ BCH และ BDMS กลุ่ม ICT & IT ได้แก่ ADVANC, DTAC, AS, COM7 และSYNEX กลุ่มอื่นๆ ได้แก่ KEX
4. หุ้นหลบภัยพื้นฐานดีมีรายได้มั่นคง คือ ADVANC, EASTW และ EGCO และ หุ้นที่มีอัตราการจ่ายปันผล (Div. Yield) งวดนี้รออยู่มากกว่า 2% แนะนำ LH (XD 24 ส.ค. @ Bt0.25), PROSPECT (XD 23 ส.ค. @ Bt0.235), SMPC (XD 23 ส.ค. @ Bt0.35), SPALI (XD 24 ส.ค. @ Bt0.5), STA (XD 23 ส.ค. @ Bt1.25), STGT (XD 23 ส.ค. @ Bt1.25), TU (XD 23 ส.ค. @ Bt0.45) และTVO (XD 27 ส.ค. @ Bt1.3)
สำหรับธีมหุ้นที่แนะนำหาจังหวะตั้งรับเพื่อหวังผลในระยะถัดไปเมื่อมีการทยอยเปิดเศรษฐกิจ (Re-opening) และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐช่วงปลายปีนี้ แนะนำ AOT, BAM, BEM, CPALL, CPN, CRC, MTC และ STEC
ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป