การปรับอันดับเครดิตของทริสเรทติ้งเป็น BBB+ (Stable) ในครั้งนี้ เป็นการปรับเพิ่มอันดับเครดิตต่อเนื่องเป็นปีที่ 2 หลังจากที่ในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2563 ทริสเรทติ้ง ได้ปรับเพิ่มอันดับเครดิตของ NPS จาก BBB- เป็น BBB (Stable) การปรับเพิ่มอันดับเครดิต 2 ปีติดต่อกัน สะท้อนให้เห็นถึงความมั่นใจต่อธุรกิจของ NPS มุมมองในเชิงบวก และความแข็งแกร่งของสถานะการเงินได้เป็นอย่างดี
โดยในปี พ.ศ.2563 NPS มีกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็น 4,650 ล้านบาทจากเดิม 4,470 ล้านบาทในปี พ.ศ.2562 ดีกว่าที่ทริสเรทติ้งประเมินไว้ ขณะที่หนี้สินทางการเงินลดลงจาก 16,900 ล้านบาทเป็น 14,000 ล้านบาทในปี พ.ศ.2563 ทำให้สัดส่วนหนี้ทางการเงินต่อทุนปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 55.3% และอัตราส่วนหนี้สินทางการเงินต่อกำไรก่อนดอกเบี้ยจ่าย ภาษี ค่าเสื่อมราคา และค่าตัดจำหน่าย ปรับตัวดีขึ้นมาอยู่ที่ระดับ 3 เท่าในปี 2563 จาก 3.8 เท่าในปี พ.ศ.2562
การออกหุ้นกู้มูลค่า 5.5 พันล้านบาทในช่วงเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา NPS ได้นำเงินที่ได้จากการออกหุ้นกู้ใหม่รวมกับกระแสเงินสดจากการดำเนินงานไปใช้ชำระคืนเงินกู้ระยะยาวก่อนกำหนดรวม 1.9 พันล้านบาท และชำระหนี้หุ้นกู้มูลค่า 3.9 พันล้านบาทที่ครบกำหนดในเดือนสิงหาคม พ.ศ.2564 ส่งผลให้บริษัท ไม่มีภาระหนี้กับสถาบันทางการเงิน ซึ่งเป็นการปรับปรุงโครงสร้างเงินทุนใหม่โดยทริสเรทติ้ง คาดว่าภาระหนี้หุ้นกู้ของบริษัทจะลดลงอย่างต่อเนื่องในช่วงปี พ.ศ.2564-2566
ทริสเรทติ้ง ยังระบุเพิ่มเติมว่า การปรับเปลี่ยนสูตรการคำนวณค่าไฟฟ้าสำหรับโรงไฟฟ้าชีวมวลของบริษัทจำนวน 116 เมกะวัตต์ จากการอ้างอิงราคาเชื้อเพลิงเป็น แบบ Feed-in Tariff (FiT) ที่อัตรา 3.66 บาทต่อกิโลวัตต์-ชั่วโมง (หน่วย) ทำให้บริษัทมีฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้น และคาดว่าบริษัทจะสามารถรักษาระดับความพร้อมจ่ายของโรงไฟฟ้าโดยรวมได้ที่ระดับเดียวกับมารตรฐานอุตสาหกรรมประมาณ 84%-86%
แม้ในช่วงสถานการณ์โควิด-19 บริษัท NPS ก็ยังคงมีความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องได้ปรับอันดับเครดิตเรทติ้งสองปีซ้อนทำให้สามารถเชื่อมั่นได้ว่าธุรกิจของ NPS มีความมั่นคงและยังคงสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ที่มา: คิธแอนด์คิน คอมมิวนิเคชั่นแอนด์คอนซัลแตนท์