นายวีระพงศ์ มาลัย ผู้อำนวยการสำนักงานส่งเสริมวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (สสว.) เปิดเผยว่า วิกฤติโควิด -19 ส่งผลให้การผลักดันสินค้าไทยไปยังตลาดต่างประเทศ ได้รับผลกระทบตามไปด้วยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้น ผู้ประกอบการจึงต้องเร่งปรับตัวต่อการเปลี่ยนแปลง ที่สำคัญคือต้องปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ทางการตลาดให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน
ผอ.สสว เผยว่า ด้วยเหตุนี้ สสว. ในฐานะหน่วยงานหลักที่มีบทบาทภารกิจหลักในการส่งเสริมเอสเอ็มอีให้เติบโตอย่างยั่งยืน จึงได้ร่วมมือกับสถาบันพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (ISMED) ดำเนินการจัดกิจกรรมการเจรจาธุรกิจผ่านระบบออนไลน์ กับสาธารณรัฐอินเดียในงาน Thailand-India Online Business Matching 2021 ( Lifestyle & Food Products) ขึ้น โดยมีผู้ประกอบการให้ความสนใจ สมัครเข้าร่วมโครงการและผ่านเข้ารอบเป็นจำนวน 51 ราย
"แม้สถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 จะค่อนข้างรุนแรงในประเทศอินเดีย แต่เศรษฐกิจอินเดียกลับเติบโตดีกว่าที่คาด สำนักข่าวแชนเนล นิวส์ เอเชีย รายงานว่า ตัวเลขเศรษฐกิจ (จีดีพี) ประเทศอินเดีย ช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ (มกราคม-มีนาคม 2564) ขยายตัว 1.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว (2563) ซึ่งขับเคลื่อนโดยภาคการผลิตเป็นหลัก และการที่ประเทศอินเดียมีขนาดประชากรมากถึง 1,366 ล้านคน ทำให้อินเดียเป็นประเทศที่มีความต้องการซื้อสูง ผู้บริโภคชาวอินเดียเปิดรับเทคโนโลยีใหม่ ๆ มากขึ้น เริ่มให้ความสนใจกับการซื้อสินค้าจากร้านค้าปลีกสมัยใหม่ในกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคที่มีมูลค่าสูงขึ้น มีแบรนด์ และมีคุณภาพดีต่างจากสินค้าท้องถิ่น จึงเป็นโอกาสสำคัญของสินค้าไทยในการเข้าไปทำตลาด" นายวีระพงษ์ กล่าว
สำหรับสินค้าไทยที่ได้รับความสนใจในประเทศอินเดีย ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ในครัวเรือน ของใช้ของตกแต่ง รวมถึงอาหารและอาหารแปรรูป โดยภาพลักษณ์ของสินค้าไทยในสายตาชาวอินเดียนั้นมีคุณภาพสูง และได้รับการตอบรับที่ดี นอกจากนี้การที่ประเทศอินเดียมีประชากรอยู่มากถึงราว 1,366 ล้านคน และมีอัตราการเกิดใหม่ค่อนข้างสูง ทำให้สินค้าในกลุ่มของใช้สำหรับเด็ก ในกลุ่มสินค้าออร์แกนิค ได้รับการตอบรับจากคู่ค้าจากประเทศอินเดียได้เป็นอย่างดี
สำหรับการจัดกิจกรรม Thai-India Online Business Matching 2021 ภายใต้โครงการพัฒนาศักยภาพและช่องทางการตลาดเชิงลึกสำหรับผู้ประกอบการ SME ปีงบประมาณ 2564 ในครั้งนี้ เป็นการเจรจาจับคู่ธุรกิจในแบบออนไลน์ระหว่างไทยกับอินเดียอย่างเต็มรูปแบบ มีผู้ประกอบการไทยเข้าร่วมทั้งสิ้นจำนวน 51 ราย ร่วมเจรจาธุรกิจกับบริษัทต่างๆ ในอินเดีย อาทิ Bhawar group บริษัทค้าปลีกผ่านช่องทางอีคอมเมิร์ซของอินเดีย Sherav บริษัทที่เป็นตัวแทนการค้าจำหน่ายไปยังประเทศอื่นอีกทั่วโลก และ Naaptol Online Shopping Pvt Limited บริษัทที่เป็นตัวแทนแพล็ตฟอร์มออนไลน์ในอินเดีย เป็นต้น ซึ่งบริษัทในอินเดียเหล่านี้ ต่างให้ความสนใจในการทำธุรกิจกับคู่ค้าในประเทศไทย นับว่าสินค้าไทยได้รับการตอบรับและมีผลสำเร็จเกินคาด โดยสินค้าที่ได้รับความสนใจเป็นอย่างมากในการเจรจาธุรกิจครั้งนี้ ได้แก่ สินค้าสำหรับเด็ก สินค้าที่เป็นของใช้ภายในบ้าน ของใช้และอาหารที่เกี่ยวข้องกับการดูแลสุขภาพ ฯ โดยกิจกรรมในครั้งนี้มีการเจรจาจับคู่ธุรกิจรวมมากกว่า 260 คู่ และคาดว่าจะมีมูลค่าคำสั่งซื้อสินค้าภายใน 1 ปี ไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาท
ที่มา: ออร์แก้นส์ กรุ๊ป