นางสาวจริญญา จิโรจน์กุล กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์รายใหญ่ของโลก เปิดเผยว่า จากภาพรวมความต้องการใช้ถุงมือยางทั่วโลกที่มีอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้ประกอบการในภาคอุตสาหกรรมต่างๆ และประชาชนปรับเปลี่ยนพฤติกรรมให้ความสำคัญด้านสุขอนามัยเพื่อป้องกันโรค COVID-19 ตลอดจนการใช้ถุงมือยางเพื่อฉีดวัคซีนแก่ประชาชนในประเทศต่างๆ ดังนั้นแผนการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปีนี้ บริษัทฯ จึงเดินหน้าขยายการลงทุนโรงงานเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตสินค้าตามแผนงานที่วางไว้ รองรับดีมานด์ถุงมือยางทั้งในและต่างประเทศที่ยังคงแข็งแกร่ง
ล่าสุด ในเดือนกันยายนนี้ บริษัทฯ ได้เดินเครื่องจักรโรงงานแห่งใหม่ในอำเภอสะเดา จังหวัดสงขลา เป็นที่เรียบร้อย โดยโรงงานดังกล่าวติดตั้งเครื่องจักรและเทคโนโลยีการผลิตสมัยใหม่ด้วยความเร็วสูง สามารถผลิตสินค้าได้อย่างหลากหลาย ทั้งถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์ และนับเป็นหนึ่งในโรงงานที่ทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของบริษัทฯ ในขณะนี้ โดยโรงงานดังกล่าวนับเป็นโรงงานแห่งที่ 3 ของ STGT ที่เริ่มเดินเครื่องจักรในปีนี้ ต่อจากโรงงานสุราษฎร์ธานี 2 และโรงงานสุราษฎร์ธานี 3 ที่เปิดดำเนินการไปแล้ว ส่วนในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทฯ วางแผนเปิดโรงงานใหม่ในจังหวัดตรัง ซึ่งจะเป็นโรงงานแห่งที่ 4 ที่เริ่มเดินเครื่องจักรในปีนี้ เพื่อผลิตถุงมือยางธรรมชาติและถุงมือยางไนไตรล์
"ปัจจุบันถือว่าบริษัทฯ สามารถขยายกำลังการผลิตได้ตามแผน โดยโรงงานใหม่ในจังหวัดตรัง มีการก่อสร้างและติดตั้งเครื่องจักรคืบหน้าตามเป้าหมาย จะพร้อมเดินเครื่องจักรได้ในไตรมาสสุดท้ายตามแผน ซึ่งบริษัทฯ ได้เตรียมความพร้อมด้านแรงงานและมาตรการด้านสุขอนามัยที่เข้มงวดภายในโรงงาน เพื่อให้ความมั่นใจแก่คู่ค้าและผู้บริโภค" นางสาวจริญญา กล่าว
กรรมการผู้จัดการใหญ่ STGT กล่าวต่อว่า จากแผนงานขยายโรงงานดังกล่าว ส่งผลให้ปี 2564 บริษัทฯ จะสามารถผลิตถุงมือยางเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 36,000 ล้านชิ้น จากปีที่ผ่านมาที่สามารถผลิตสินค้าได้ประมาณ 33,000 ล้านชิ้น ซึ่งกำลังการผลิตสินค้าที่เพิ่มขึ้นจะส่งผลดีต่อภาพรวมผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้ ที่มีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องกว่าครึ่งปีแรกที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้ให้ความสำคัญกับการบริหารจัดการการขนส่ง เพื่อแก้ปัญญาตู้คอนเทนเนอร์ที่ยังไม่เพียงพอต่อความต้องการ เพื่อให้ปริมาณการขายเติบโตได้ตามเป้าหมาย
ขณะที่ภาพรวมผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 28,401.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 227.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 17,331.7 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,068.7% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจากงวดผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 แก่ผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 1.25 บาท ในวันที่ 7 กันยายน 2564 และคาดว่าในเดือนธันวาคม 2564 จะจ่ายในอัตราอีกไม่น้อยกว่า 1.25 บาทต่อหุ้น ภายหลังคณะกรรมการบริษัทฯ การอนุมัติงบไตรมาส 3/2564 เป็นที่เรียบร้อย
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย