อย่างไรก็ตาม เนื่องจากเส้นทาง R9 และ R3A ได้ขยายตัวขึ้นอย่างรวดเร็ว จึงเกิดปัญหาการจราจรติดขัด บริเวณหน้าด่านนำเข้าของจีน โดยเฉพาะด่านโหย่วอี้กว่าน ซึ่งส่งผลให้รถขนส่งสินค้าติดอยู่ที่ชายแดนจีนเป็นเวลานาน ทำให้สินค้าผลไม้สด โดยเฉพาะทุเรียนไทยที่ส่งไปจีนนั้นเสียหาย กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ หารือแนวทางการแก้ไขปัญหากับจีน เมื่อเดือนพฤศจิกายน ปี 2562 และได้เห็นชอบร่วมกัน ในหลักการจัดทำพิธีสารฉบับใหม่ เพื่อเปิดด่านนำเข้าผลไม้จากไทยไปจีนเพิ่มเติม และต่อมาต้นปี 2563 ได้มอบหมายสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ (มกอช.) และกรมวิชาการเกษตร หารือกับฝ่ายจีน เพื่อจัดทำร่างพิธีสารว่าด้วยข้อกำหนดในการกักกันโรคและตรวจสอบสำหรับการส่งออกและนำเข้าผลไม้ผ่านประเทศที่สามจนสำเร็จลุล่วง จึงได้มีการลงนามร่วมกันในวันนี้ ส่งผลให้มีด่านนำเข้า - ส่งออกสินค้าเกษตรเพิ่มขึ้น รวมจำนวนทั้งสิ้น 16 ด่าน โดยเป็นด่านของไทย 6 ด่าน (เชียงของ มุกดาหาร นครพนม บ้านผักกาด บึงกาฬ หนองคาย) และด่านของจีน 10 ด่าน (โหย่วอี้กว่าน โม่ฮาน ตงซิง ด่านรถไฟผิงเสียง ด่านรถไฟโม่ฮาน เหอโข่ว ด่านรถไฟเหอโข่ว หลงปัง เทียนเป่า และสุยโข่ว)
หลังจากนี้ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ โดยกรมวิชาการเกษตร ในฐานะหน่วยงานผู้รับผิดชอบหลัก ด้านการตรวจสอบกักกันพืช และออกใบรับรองสุขอนามัยพืช จะดำเนินการแจ้งเวียนรายชื่อด่าน ที่จีนและไทยอนุญาตให้นำเข้าและส่งออกผลไม้ ตามพิธีสารฯ ให้กับด่านตรวจพืชต่าง ๆ และผู้ประกอบการที่เกี่ยวข้อง พร้อมประกาศรายชื่อด่านดังกล่าวลงในเว็บไซต์ของกรม และจะดำเนินการประสานกับฝ่ายจีน เพื่อกำหนดแนวทางการแลกเปลี่ยนใบรับรองสุขอนามัยพืช ผ่านระบบอิเล็กทรอนิกส์ระหว่างด่านนำเข้า - ส่งออก ต่อไป ทั้งนี้ ผู้ประกอบการส่งออกผลไม้ไปจีนผ่านด่าน ต้องปฏิบัติตามประกาศกรมวิชาการเกษตร เรื่อง การขอใบรับรองสุขอนามัยพืชสำหรับผลไม้ส่งออกจากราชอาณาจักรไทยไปยังสาธารณรัฐประชาชนจีน พ.ศ. 2564
ด้านนายพิศาล พงศาพิชณ์ เลขาธิการสำนักงานมาตรฐานสินค้าเกษตรและอาหารแห่งชาติ กล่าวว่า สำหรับแชมป์ผลไม้ส่งออกของไทย 3 อันดับแรก ยังคงเป็นทุเรียน มังคุด และ ลำไย ซึ่งจากข้อมูลการส่งออกผลไม้ไทยไปจีน เฉพาะที่มีใบรับรองสุขอนามัยพืช โดยผ่านเส้นทาง เส้นทาง R9 (มุกดาหาร, นครพนม - โหย่วอี้กวน) และ R3A (เชียงของ-โม่ฮาน) พบว่า ไทยมีปริมาณการส่งออกและมูลค่าเติบโตต่อเนื่อง จะเห็นได้จาก 3 ปีที่ผ่านมา มีปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นเฉลี่ยร้อยละ 13 ต่อปี และมูลค่าเพิ่มขึ้นเฉลี่ยถึงร้อยละ 50 ต่อปี โดยปี 2561 ส่งออกผลไม้ผ่าน R9 และ R3A รวมปริมาณ 421,657 ตัน มูลค่า 17,857 ล้านบาท และในปี 2564 ระยะเวลา 8 เดือน (มกราคม - 7 กันยายน 2564) ส่งออก 691,653 ตัน มูลค่า 66,370 ล้านบาท
ทั้งนี้ ประโยชน์ที่ไทยจะได้รับจากการลงนามพิธีสาร นอกจากจะทำให้มีด่านส่งออกและนำเข้าทั้งจากไทยและจีนมากขึ้นแล้ว ผู้ประกอบการไทย ยังมีทางเลือกในการใช้เส้นทางขนส่งเพิ่มขึ้น สามารถเลือกใช้เส้นทางที่สะดวกและเหมาะสม นำมาซึ่งการลดต้นทุน การขนส่งสินค้าเกษตร โดยเฉพาะผลไม้ไทย เป็นผลไม้เมืองร้อน มีอายุการเก็บรักษาสั้น ดังนั้น การขยายด่านขนส่ง จึงเป็นผลดีต่อสินค้าเกษตร ให้สามารถกระจายไปยังมณฑลต่างๆ ของจีนได้อย่างทั่วถึงในระยะอันสั้น และจัดส่งได้รวดเร็วกว่าการขนส่งทางเรือที่สำคัญเป็นการสร้างโอกาสให้กับพี่น้องเกษตรกร เพราะเมื่อมีการส่งออกกระจายสินค้าได้รวดเร็ว ย่อมส่งผลให้ราคาสินค้าเกษตรไทยมีราคาที่ดีไปด้วย อีกทั้งผู้บริโภคจีน ยังได้มีโอกาสบริโภค ลิ้มลองรสชาติผลไม้ไทยได้จำนวนมากและหลากหลายชนิดมากขึ้น
ที่มา: สำนักงานปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์