นอกจากนี้ Fed ยังส่งสัญญาณต่อมุมมองเศรษฐกิจสหรัฐฯที่ดีขึ้น สอดคล้องกับ Dot Plot ซึ่งบ่งชี้โอกาสการปรับขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าเดิม (สมาชิก Fed จำนวน 9 ราย ให้น้ำหนักการขึ้นดอกเบี้ยอย่างน้อย 1 ครั้ง ในปี 2565 ซึ่งเป็นจำนวนที่เพิ่มขึ้นจาก 7 ราย ในการประชุมเดือน มิ.ย.) นอกจากนี้หากประเมินลงในรายละเอียดจะพบว่า 3 ใน 9 ราย ให้น้ำหนักการปรับขึ้นดอกเบี้ย 2 ครั้ง นั่นหมายความว่า หากโครงการ QE สิ้นสุดในเดือน มิ.ย. 2565 และจากสมมติฐานที่ว่า การปรับขึ้นดอกเบี้ยจะเกิดขึ้นในการประชุม FOMC ครั้งใหญ่ในเดือนสุดท้ายของแต่ละไตรมาส นั่นคือ Fed มีโอกาสที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในการประชุมเดือน ก.ย. 2565 (แต่ยังเป็นมุมมองของสมาชิกส่วนน้อยจำนวน Fed 3 ราย จากสมาชิกที่ลงมติทั้งหมด 18 ราย) จุดเริ่มต้นเข้าสู่การปรับเปลี่ยนนโยบายกลับสู่ภาวะปกติที่กำลังจะเกิดขึ้น ทั้งจากทางฝั่ง Fed ถือเป็นธนาคารกลางชาติมหาอำนาจประเทศแรกที่ส่งสัญญาณอย่างเป็นทางการ และน่าจะตามมาด้วย ECB ซึ่งในการประชุมครั้งล่าสุด (9 ก.ย.) มีการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนว่าขนาดการซื้อคืนสินทรัพย์ในโครงการ PEPP ในไตรมาส 4Q64 จะต่ำกว่าในช่วงสองไตรมาสที่ผ่านมา แม้ว่าการลดขนาดการกระตุ้นด้านการเงินทั่วโลก จะบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวกลับมาจากภาวะวิกฤตได้อย่างเต็มรูปแบบ แต่ในทางกลับกันก็ทำให้สภาพคล่องในระบบจากการกระตุ้นเศรษฐกิจค่อยๆ ลดลง กดดันบรรยากาศการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งหากย้อนไปมองถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นจากการลดขนาดการกระตุ้นเศรษฐกิจในครั้งที่ผ่านมา (QE Tapering Tantrum 2556) พบว่าหลังการประกาศอย่างเป็นทางการตลาดหุ้นทั่วโลกจะเข้าสู่ช่วงการปรับสมดุล
สำหรับผลกระทบเชิงลบต่อตลาดหุ้นไทยน่าจะจำกัด เนื่องจากภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปัจจุบันแตกต่างจากหุ้นไทยในช่วง QE Tapering ปี2556 อยู่หลายประการ เช่น 1) ตลาดหุ้นไทยอยู่ในกลุ่มที่ Underperform หากเทียบกับตลาดสหรัฐฯ และยุโรป เมื่อเทียบกับช่วงการส่งสัญญาณ QE Tapering ปี 2556 ที่ตลาดหุ้นไทย Outperform ตลาดอื่นๆ อย่างมีนัยสำคัญ ดังนั้นสภาพคล่องที่อาจลดลงคาดจะกระทบตลาดหุ้นไทยจำกัด 2) ตลาดหุ้นไทยไม่ได้ประโยชน์จากสภาพคล่องการทำ QE4 และ โครงการ PEPP สะท้อนจากนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสูงถึงระดับ 2.65 แสนล้านบาท ต่างจากในช่วง 2552-2556 ที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึง 1.96 แสนล้านบาท ดังนั้นจึงคาดผลกระทบรอบนี้ต่อ SET จึงน่าจะจำกัดเช่นกัน
ที่มา: บมจ.หลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย)