ขณะที่ปัจจัยในประเทศ คงต้องติดตามพัฒนาการเชิงบวกทางด้านวัคซีนและการคลาย Lockdown ในประเทศที่มากขึ้น ซึ่งน่าจะทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจกลับมาคึกคักมากขึ้นไม่มากก็น้อย ไม่นับรวม กับ Upside risk ที่อาจเกิดขึ้น หากภาครัฐมีการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ในปีงบประมาณ ใหม่ หลังจากที่ได้มีการปรับเพิ่มระดับเพดานหนี้สาธารณะมาอยู่ที่ 70% ของจีดีพีไปก่อนหน้านี้ ซึ่งหากเกิดขึ้นได้จริง ประเมินว่าจะส่งผลบวกต่ออุปสงค์ในประเทศ โดยเฉพาะการบริโภคภาคเอกชนเป็นสำคัญ
นายณัฐชาต กล่าวว่า ในเชิงกลยุทธ์แนะนำเพียงแค่การถือครองหุ้นในส่วนเดิมที่ได้เข้าสะสมก่อนหน้านี้ที่บริเวณดัชนี 1,600 จุด ส่วนการเพิ่มน้ำหนักใหม่ยังไม่แนะนำจนกว่าดัชนีจะลงมาใกล้เคียงกับระดับแนวรับ เดือนนี้ที่ 1,550 จุด และยังคงโฟกัสไปที่กลุ่มหุ้น Domestic play โดยเฉพาะ Domestic consumption ที่อิง ไปกับการฟื้นตัวของภาคแรงงานและการบริโภคภายในประเทศ นอกจากนั้นยังได้ประโยชน์จากภาวะ ความชัน Yield curve ขาขึ้น และมีลุ้นรับข่าวเชิงบวกจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมของภาครัฐ
สำหรับหุ้นที่แนะนำ มี 15 บริษัทดังนี้ 1.กลุ่มค้าปลีกที่ได้ประโยชน์จากรายได้และความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่สูงขึ้น ได้แก่ CPALL, COM7, MAKRO, HMPRO, GLOBAL, DOHOME 2.กลุ่มโรงไฟฟ้าที่ได้ประโยชน์จากอุปสงค์ต่อการใช้ไฟของภาคครัวเรือนและอุตสาหกรรมที่มากขึ้น ได้แก่ GULF, GPSC, BGRIM 3.หุ้นกลุ่ม ผู้ให้บริการสถานีปั๊มน้ำมันจากอุปสงค์การเดินทางที่เพิ่มสูงขึ้น ได้แก่ OR และ PTG 4.กลุ่มธุรกิจ AMC ที่เรามองไม่ได้รับผลกระทบใดๆจากการปรับเปลี่ยนโครงสร้างของ SCB แต่ราคากลับปรับตัวลงมาแรง ได้แก่ JMT, CHAYO 5.หุ้น 2 บริษัทที่อยู่ในธีม Index rebalancing ซึ่งจากการคำนวณของเราพบว่าหุ้นที่มีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี MSCI Thailand Standard Index ในรอบถัดไปจะได้แก่ TTB ส่วนหุ้นที่มีลุ้นถูกนำเข้าสู่ดัชนี SET50 ในรอบถัดไปจะได้แก่ AWC
อย่างไรก็ตามนักลงทุนยังต้องติดตามปัจจัยสำคัญอื่นๆที่จะเกิดขึ้นในเดือนนี้ ได้แก่ 1.ดัชนีภาคการผลิตทั่วโลกที่ยังคงอ่อนแรงอย่างต่อเนื่อง จากปรากฏการณ์ Restocking ที่ผ่อนคลายลงและปัญหา Supply-chain disruption มองเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญต่อมายังภาคการส่งออกของไทยในช่วงถัดไป โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าอุตสาหกรรม เช่น ETRON และAUTO 2.การประชุมร่วมของสมาชิกกลุ่ม OPEC+ ในวันที่ 4 ต.ค. ซึ่งเริ่มมีกระแสคาดการณ์ถึงการคืนกำลังการผลิตเข้าสู่ตลาดในระดับที่สูงขึ้นจากเดิมที่ 4 แสนบาร์เรลต่อวัน หากเกิดขึ้นจริงมองเป็นปัจจัยยับยั้งการปรับขึ้นของราคาน้ำมันดิบชั่วคราวได้ 3.รายงานตัวเลขการจ้างงาน ของสหรัฐฯ ในวันที่ 8 ต.ค.ซึ่งหากออกมาดีมากจะส่งผลต่อคาดการณ์ดอกเบี้ยในอนาคตให้มีการปรับขึ้น ได้จนส่งผลกดดันต่อตลาดทุน และ 4.การทยอยประกาศผลประกอบการไตรมาส 3/64 ของบริษัทจดทะเบียน ในประเทศ ซึ่งมองว่าข่าวร้ายได้อยู่ในราคาไปค่อนข้างมากแล้ว โดยเฉพาะกลุ่ม Domestic demand ที่ได้รับผลกระทบจากการ Lockdown
ที่มา: หลักทรัพย์ ทรีนีตี้