นายเอกพันธ์ วนโกสุม ประธานกรรมการบริหาร บมจ. เค.ดับบลิว.เม็ททัล เวิร์ค (KWM) และ ในฐานะประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เคดับบลิวเอชบี จำกัด (KWHB) เปิดเผยถึงการจัดตั้งบริษัทร่วมทุนภายใต้ บริษัท เคดับบลิวเอชบี จำกัด ว่า บริษัทดังกล่าว KWM ถือหุ้น 51% โดยมีพันธมิตรหลัก บริษัท เฮมพ์บิซ จำกัด ถือหุ้นอีก 40% ส่วนที่เหลืออีก 9% เป็นกลุ่มพันธมิตรอื่นๆ เพื่อดำเนินธุรกิจสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรไทย รวมถึงการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าจากพืชสมุนไพร อาทิ ฟ้าทะลายโจร พืชกระท่อม มะขามป้อม มะม่วงหาวมะนาวโห่ เป็นต้น โดยบริษัทดังกล่าว มีทุนจดทะเบียน 20 ล้านบาท
ทั้งนี้ KWHB ตั้งงบลงทุนประมาณ 40 ล้านบาท สำหรับการก่อสร้างโรงงาน และการติดตั้งเครื่องสกัด ซึ่งความคืบหน้าล่าสุดขณะนี้ อยู่ระหว่างดำเนินการก่อสร้างโรงงาน และทยอยติดตั้งเครื่องจักรเพื่อสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพร โดยเบื้องต้นคาดว่าโรงงานดังกล่าวจะแล้วเสร็จ และสามารถเดินเครื่องสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรไทย ได้ภายในเดือนกุมภาพันธ์ 2565 พร้อมทั้งคาดว่าจะสามารถนำสารสกัดที่ได้ไปพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ ในกลุ่มสินค้าประเภทเครื่องสำอาง อาหารเสริม ยา เครื่องดื่ม และอื่นๆได้ทันที
โดยในระยะแรกของการดำเนินงานของโรงสกัด บริษัท KWHB จะมีการใช้พืชใบกระท่อมมาเป็นตัวหลักในการสกัดสารสำคัญ ภายหลังจากรัฐบาลประกาศปลดล็อกพืชกระท่อมออกจาก พ.ร.บ. ยาเสพติดให้โทษฯเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งเบื้องต้นคาดว่าจะมีการพัฒนาผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และยา โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างการขอขึ้นทะเบียนกับทางสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลาพิจารณาประมาณ 3 - 4 เดือนหลังจากที่ดำเนินการขอ และหากกระบวนการทุกอย่างแล้วเสร็จคาดว่าจะเริ่มทยอยออกผลิตภัณฑ์พร้อมทำการตลาดสินค้าจากพืชสมุนไพร ประมาณ 5 - 10 ผลิตภัณฑ์ได้ภายในช่วงต้นปี 2565
นอกจากนี้ บริษัท KWHB ยังมีการศึกษาการสกัดพืชสมุนไพรอื่นๆเพิ่มเติม อาทิ ฟ้าทะลายโจร มะขามป้อม มะม่วงหาวมะนาวโห่ เพิ่มเติม เพื่อที่จะนำสารสกัดไปแปรรูปเป็นผลิตภัณฑ์ต่างๆ โดยปัจจุบันขนาดตลาดของสารสกัด มากกว่า 10,000-20,000 ล้านบาท ดังนั้นบริษัทฯ ตั้งเป้าภายใน 5 ปี (2565-2569) บริษัทตั้งเป้าแชร์ส่วนแบ่งทางการตลาด ของตลาดสกัดสารสำคัญ ไม่ต่ำกว่า 10%
นายเอกพันธ์ ยังได้กล่าวเพิ่มเติมอีกว่า ในวันนี้ KWM สามารถต่อยอดธุรกิจจากการเป็นผู้นำในการประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอุปกรณ์ที่ใช้ในการเกษตรและมีประสบการณ์ด้านงานวิศวกรรมเครื่องกลสู่การเป็นผู้นำด้านการผลิตเครื่องสกัดระบบ SUPERCRITICAL FLUID CO2 EXTRACTION กัญชง-กัญชา และสมุนไพรไทย สัญชาติไทยเป็นรายแรกของประเทศ จนล่าสุดผนึกกำลังกลุ่มผู้เชี่ยวชาญด้านสมุนไพรไทยระดับต้นๆของประเทศ ตอบโจทย์การดำเนินธุรกิจที่ครบวงจรตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ (ผลิต-สกัด-จำหน่าย) ซึ่งการต่อยอดธุรกิจดังกล่าวเป็นการตอกย้ำถึงบทพิสูจน์ที่แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของ KWM ในการก้าวสู่การเป็นผู้นำการสกัดพืชสมุนไพรไทยแบบครบวงจร ในอนาคต ซึ่งจะส่งผลให้ภาพรวมผลการดำเนินงานของKWM รวมถึงบริษัท KWHB มีแนวโน้มเติบโตก้าวกระโดดอย่างมีนัยสำคัญ
ดร.เภสัชกรหญิงประคองศิริ บุญคง หัวหน้าทีมวิจัย บริษัท เคดับบลิวเอชบี จำกัด (KWHB) กล่าวเสริมว่า บริษัท เฮมพ์บิซ จำกัด เป็นองค์กรธุรกิจที่ก่อตั้งโดย กลุ่มแพทย์แผนไทย กลุ่มเภสัชกร นักวิจัย รวมทั้งทีมงานที่ปรึกษาเชี่ยวชาญเฉพาะด้านสมุนไพรไทย มากกว่า 30 ปี ที่มุ่งเน้นให้บริการที่ปรึกษา เสนอแนะ แนวทางสำหรับผู้ประกอบการธุรกิจ ที่ต้องการประกอบกิจการ เกี่ยวกับพืชสมุนไพรไทย กัญชา กัญชง และ กระท่อม ตั้งแต่ต้นน้ำ กลางน้ำ และ ปลายน้ำ ดังนั้นจึงมองว่า การดำเนินธุรกิจภายใต้ KWHB ในครั้งนี้จะช่วยผลักดันธุรกิจสกัดสารสำคัญจากพืชสมุนไพรไทย รวมถึงการผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าจากพืชสมุนไพรไทย ให้แพร่หลายสู่ตลาดโลก
และในฐานะหัวหน้าทีมวิจัย เราจะนำจุดเด่นในการนำเทคนิคการสกัดสมุนไพรในรูปแบบต่างๆรวมถึงการนำเทคโนโลยีขั้นสูงและเครื่องจักรที่ทันสมัย มาสกัดสารสกัดที่เกี่ยวข้องกับสมุนไพรไทย เพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุดตามความต้องการของลูกค้า และตรงตามความต้องการของตลาด สู่ผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ มีเอกลักษณ์ และสามารถสร้างความโดดเด่นที่แตกต่างจากท้องตลาด และ BRAND อื่น เพื่อตอบสนองได้ทุกภาคส่วนของอุตสาหกรรมในแต่ละประเภท อาทิ อุตสาหกรรมเครื่องสำอาง สปา อาหาร อาหารเสริม ยา เป็นต้น เพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภค
"การปฏิบัติงานของบริษัทฯ ทุกขั้นตอนผ่านการวิจัย คิดค้นอย่างหนักในห้องปฏิบัติการงานวิจัยของบริษัทเอง เพื่อตรวจสอบคุณภาพและคุณสมบัติเฉพาะของสารสกัดที่ได้รับจากโรงงานสกัด ตามมาตรฐานที่ได้ทำการทดลอง วิจัยและจามที่ได้พัฒนาไว้ในเชิงคุณภาพ โดยมีการวิเคราะห์สารออกฤทธิ์ (Active Ingredients) ให้ตรงตามมาตรฐานที่กำหนด และสามารถนำมาใช้พัฒนาผลิตภัณฑ์รูปแบบใหม่ๆ ที่เป็นสูตรลับเฉพาะของผู้ประกอบการเท่านั้น" ดร.เภสัชกรหญิงประคองศิริ กล่าว
ด้านอาจารย์วิชัย วรรธนะโสภณ นักวิจัย บริษัท เคดับบลิวเอชบี จำกัด (KWHB) กล่าวทิ้งท้ายว่า จากประสบการณ์กว่า 15 ปีที่ได้มีการพัฒนา และวิจัยสารสกัดจากสุมนไพร เพื่อให้ได้สารสกัดสมุนไพรที่ปราศจากสารพิษ ซึ่งเทคนิคการสกัดดังกล่าวไม่มีโลหะหนักปนเปื้อน ทำให้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายร่างกาย และ ไม่มีผลต่อไตโดยปัจจุบันเรามีห้องแลปที่ทันสมัยในการตรวจหาปริมาณสารสกัด โลหะหนัก และสามารถระบุได้ถึงถิ่นกำเนิดของสมุนไพรที่นำมาสกัด ทำให้สารสกัดของเรามีมาตรฐาน ปลอดภัย และได้ประสิทธิภาพตรงตามที่ต้องการ
ทั้งนี้ ทางทีมวิจัย ให้ความสำคัญในเรื่องความปลอยภัยจากสารสกัดสมุนไพรเป็นสำคัญ โดยเฉพาะ การสกัดสารสำคัญจากธรรมชาติเพื่อสุขภาพ ที่ปราศจากสารเคมีสังเคราะห์และไม่มีความเป็นพิษ (Natural & Health without chemical and nontoxic) เพื่อสร้างโอกาสให้กับสมุนไพรไทยเป็นที่รู้จักมากขึ้น ในระดับโลก ด้วยการใช้นวัตกรรมการสกัดที่แตกต่าง บวกกับความคิดสร้างสรรค์เชิงบวก (Creative & Positive) ซึ่งใน 6 ปีก่อนมีการค้นพบว่า สมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยฟื้นฟูเซลล์ให้กลับมาแข็งแรงสมบูรณ์ได้ และยังช่วยให้ผิวพรรณดูอ่อนเยาว์ ทางทีมวิจัยจึงนำสมุนไพรไปใช้ในการทำเครื่องสำอางบำรุงผิว อาหารเสริม ด้านการชะลอวัย เพื่อสุขภาพที่แข็งแรงขึ้น และถือเป็นการเพิ่มมูลค่าให้กับสมุนไพรไทย และเพิ่มรายได้ให้กับเกษตรกรไทยได้อีกด้วย
และกว่า 2 ปีของงานวิจัยสารสกัดจากใบกระท่อม ภายใต้การวิจัยในเบื้องต้นสารสกัดจากใบกระท่อมของเราออกฤทธิ์เร็วขึ้น นานขึ้น โดยไม่ทำให้เกิดอาการปวดหัว คลื่นไส้ อาเจียน ไม่ทำให้เกิดอาการท้องผูก ไม่เป็นอันตรายต่อไต ไม่ทำให้เลือดเป็นพิษ ซึ่งปัจจุบันมีการพัฒนาให้สารสกัดจากใบกระท่อมต่างสายพันธุ์ และสมุนไพรอื่นๆ ที่นอกจากจะทำให้อารมณ์ดี มีพละกำลังแล้ว ยังมีส่วนช่วยบำรุงสมองด้วย
"ปัจจุบันอยู่ระหว่างการกำลังทดสอบสารสกัดสมุนไพร เพื่อฟื้นบำรุงผิวคอที่หย่อนคล้อย และสารสกัดสำหรับสลายไขมันหน้าท้องโดยไม่ต้องออกกำลังกาย ไม่ต้องอดอาหาร และผิวท้องจะไม่หย่อนคล้อยหลังจากที่พุงยุบไปแล้ว"
อย่างก็ตามในอนาคต ทางทีมวิจัยจะพัฒนาและผลักดันให้สมุนไพรไทยสู่การเป็นสมุนไพรโลก ด้วยวิธีทางวิทยาศาสตร์หลอมรวมกับภูมิปัญญาท้องถิ่น ด้วยเครื่องมือสกัดสมุนไพรที่ทันสมัย ห้องแลปที่มีมาตรฐานสูง ทีมบุคลากรที่มีประสบการณ์และความชำนาญ ขณะเดียวกันมองว่า งานวิจัยก่อให้เกิดนวัตกรรม และนวัตกรรมจะช่วยขับเคลื่อนเศรษฐกิจและทำให้คุณภาพชีวิตของคนดีขึ้น
ที่มา: มีเดีย แพลนเนอร์ คอนซัลแทนท์