นายบรรลือศักร โสรัจจกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ จำกัด (มหาชน) (บริษัทฯ) หรือ TFM ผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจ เปิดเผยว่า บริษัทฯ ได้นำหุ้นเข้าซื้อขายวันแรก (29 ตุลาคม 2564) ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย หมวดธุรกิจการเกษตร โดยใช้ชื่อย่อ 'TFM' ในการซื้อขายหลักทรัพย์ เชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพของบริษัทฯ ที่มีประสบการณ์และความเชี่ยวชาญในอุตสาหกรรมมานานกว่า 20 ปี สั่งสมองค์ความรู้รวมถึงมีการนำนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้ในการผลิตสินค้า ทำให้บริษัทฯ ขึ้นแท่นเป็นหนึ่งในผู้นำธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจของไทย ที่มีคุณภาพและมีแบรนด์สินค้าที่ได้รับการยอมรับ ทำให้ TFM เป็นหุ้น IPO น้องใหม่ที่นักลงทุนให้ความสนใจ
หลังเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ บริษัทฯ มีแผนสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพื่อปักธงสู่ผู้นำในธุรกิจอาหารสัตว์น้ำและสัตว์เศรษฐกิจ โดยในปี 2564-2566 คาดจะใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญในครั้งนี้ จำนวน 1,177.4 ล้านบาท แบ่งเป็น 1) การขยายธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย โดยบริษัทย่อย TUKL มีแผนที่จะลงทุนในสายการผลิตอาหารสัตว์น้ำเพิ่มเติมอีก 2 สายการผลิต ซึ่งจะเป็นผลให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีก 36,000 ตันต่อปี คาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่เกิน 250 ล้านบาท ภายในปี 2566 2) ใช้ชำระคืนเงินกู้ยืมจากสถาบันการเงิน จำนวนไม่เกิน 250 - 350 ล้านบาท ภายในเดือนมีนาคม 2565 เพื่อให้อัตราหนี้สินต่อทุน (D/E Ratio) หลัง IPO ต่ำกว่า 1 เท่า และ 3.) ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียนสำหรับการดำเนินธุรกิจ นอกจากนี้ TFM มีนโยบายการจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างน้อยปีละ 2 ครั้ง รวมกันเป็นจำนวนไม่น้อยกว่าอัตราร้อยละ 50.0 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินรวม หลังจากการหักทุนสำรองต่างๆ ทุกประเภทตามข้อบังคับของบริษัทฯ และตามกฎหมายแล้ว
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TFM กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทฯ มุ่งมั่นสร้างการเติบโตในต่างประเทศ ผ่านโมเดลทางธุรกิจที่เหมาะสมและเป็นประโยชน์ต่อบริษัทฯ ได้แก่ 1. การเซ็นสัญญาความร่วมมือทางเทคนิคและอนุญาตให้ AVANTI Feeds Limited (AVANTI) ผู้ผลิตอาหารกุ้งรายใหญ่ของประเทศอินเดีย ใช้ชื่อทางการค้า (Trade Name) และสูตรการผลิตสินค้าของ TFM สำหรับการจำหน่ายอาหารกุ้งในประเทศอินเดีย 2. ร่วมลงทุนกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) ในการจัดตั้งบริษัทย่อย เพื่อดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศอินโดนีเซีย ชื่อว่า บริษัท พีที ไทยยูเนี่ยน คาริสม่า เลสทารี จำกัด (TUKL) โดยมีพันธมิตรทางธุรกิจ 2 กลุ่ม คือ PT MSK ซึ่งเป็นพันธมิตรท้องถิ่น ที่เป็นผู้ประกอบธุรกิจแปรรูปอาหารแช่แข็งรายใหญ่ในประเทศอินโดนีเซีย และกลุ่ม AVANTI โดย TFM, PT MSK และกลุ่ม AVANTI มีสัดส่วนการถือหุ้นใน TUKL 65%, 25% และ 10% ของทุนจดทะเบียนชำระแล้วของ TUKL ตามลำดับ และร่วมลงทุนจัดตั้งบริษัทย่อยในประเทศปากีสถาน คือ AMG-Thaiunion Feedmill (Private) Limited (AMG-TFM) เพื่อประกอบธุรกิจผลิตและจำหน่ายอาหารสัตว์น้ำในประเทศปากีสถาน โดยร่วมกับพันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic Partner) คือ กลุ่ม AMG ซึ่งเป็นผู้ประกอบธุรกิจอาหารสัตว์น้ำรายสำคัญในประเทศปากีสถาน ซึ่ง TFM และกลุ่ม AMG ถือหุ้น 51% และ 49% ตามลำดับ โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 AMG-TFM มีกำลังการผลิตอาหารปลา เท่ากับ 7,000 ตันต่อปี และมีแผนที่จะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 15,000 ตันต่อปี ภายในปี 2564 ทั้งนี้ AMG-TFM ได้เริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์และรับรู้รายได้และมีกำไรสุทธิแล้วตั้งแต่ในช่วงไตรมาส 2 ปี 2564 และ 3. การส่งออกไปยังต่างประเทศ เช่น ประเทศศรีลังกา มาเลเซีย บังคลาเทศ พม่า ปากีสถาน และสาธารณรัฐมัลดีฟส์ เป็นต้น
สำหรับการเติบโตของตลาดในประเทศ บริษัทฯ มีแผนพัฒนาและขยายไปยังธุรกิจใหม่ๆ เพื่อเป็นการรักษาความสามารถในการแข่งขันในฐานะผู้นำของอุตสาหกรรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งรวมถึงการเป็นผู้ผลิตและจำหน่ายอาหารปลากะพงแบบเม็ดสำเร็จรูปแทนการใช้เหยื่อสดเป็นรายแรกๆ ของประเทศไทย ตลอดจนการเป็นผู้นำในการผลิตและจำหน่ายอาหารปลากะพงยักษ์ ปัจจุบัน ได้มีการออกแบรนด์สินค้ากลุ่ม Fighting Brand เพื่อมุ่งเน้นการทำการตลาดกับกลุ่มลูกค้าที่หลากหลายมากยิ่งขึ้น ตามปริมาณการขายอาหารปลาในประเทศที่เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้มีการมุ่งเน้นการทำตลาดอาหารปลาอื่นๆ เพิ่มมากขึ้น รวมถึงอยู่ระหว่างวิจัยและพัฒนาอาหารสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น ปู และปลาสลิด เป็นต้น โดยบริษัทฯ คาดว่าจะมีโอกาสเติบโตในธุรกิจอาหารสัตว์เศรษฐกิจเพื่อสร้างความมั่นคงทางอาหารในกับภูมิภาคเอเชียในอนาคต
นายพิเชษฐ สิทธิอำนวย กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง จำกัด (มหาชน) ในฐานะที่ปรึกษาทางการเงิน และผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย กล่าวว่า บมจ.ไทยยูเนี่ยน ฟีดมิลล์ หรือ TFM มีความเชี่ยวชาญและประสบการณ์กว่า 20 ปี รวมถึงมีความพร้อมทางด้านบุคลากร แหล่งเงินทุน และการเข้าถึงนวัตกรรมใหม่ๆ เพื่อใช้พัฒนาความสามารถในการแข่งขันและยกระดับอุตสาหกรรมโดยรวม ส่งผลให้ TFM มีความสามารถในการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพดี มีความสม่ำเสมอ มีประสิทธิผลต่ออัตราการเจริญเติบโตของสัตว์น้ำ รวมถึงสามารถผลิตสินค้าที่หลากหลายและครอบคลุมสำหรับการเพาะเลี้ยงตลอดวงจรชีวิตของสัตว์น้ำในราคาที่แข่งขันได้ ทำให้ผลิตภัณฑ์และแบรนด์สินค้าของบริษัทฯ ได้รับความเชื่อมั่นในด้านคุณภาพและสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าในวงกว้างมาอย่างต่อเนื่อง
นอกจากนี้ TFM อยู่ในสถานะที่มีความพร้อมสำหรับโอกาสในการเติบโตทั้งตลาดในประเทศ ผ่านการขยายธุรกิจอาหารสัตว์น้ำและอาหารสัตว์ประเภทอื่นๆ และตลาดต่างประเทศผ่านแนวทางต่างๆ เช่น การเข้าทำสัญญาความร่วมมือกับพันธมิตรท้องถิ่น หรือการตั้งฐานการผลิตในต่างประเทศร่วมกับพันธมิตรท้องถิ่น ซึ่งจะช่วยให้ผลการดำเนินงานของ TFM เติบโตอย่างต่อเนื่องในอนาคต ทั้งนี้ TFM ได้รับความสนใจจากนักลงทุนสถาบันและนักลงทุนรายย่อยเป็นอย่างมาก และมั่นใจว่า TFM จะเป็นหุ้นน้องใหม่ที่มีคุณภาพ และได้รับการตอบรับที่ดีเยี่ยมจากนักลงุทน
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย