- แนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่าของประชาคมสินค้าอุปโภคบริโภคเริ่มต้นการดำเนินงานตามกลยุทธ์ระยะแรกโดยจะพลิกโฉมพื้นที่ขนาดเทียบเท่ากับขนาดฐานการผลิตของแนวร่วมปฏิบัติรวมกันให้กลายเป็นพื้นที่ป่าไม้ภายในปี 2030
- แนวร่วมปฏิบัติและสมาชิกรวม 20 รายมุ่งมั่นที่จะลงทุนในโครงการริเริ่มระดับท้องถิ่นเพื่อสร้างผลลัพธ์ว่าด้วย 'การอนุรักษ์ธรรมชาติ อนุรักษ์สภาพภูมิอากาศ และความเป็นอยู่ของประชากรที่ดี" (nature positive, climate positive, and people positive)
แนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่าของประชาคมสินค้าอุปโภคบริโภค (CGF) เผยเป้าหมายกลยุทธ์ในวันนี้ เพื่อผลักดันการเปลี่ยนแปลงที่พลิกโฉมเพื่อเพิ่มพื้นที่ป่า ในภูมิภาคที่มีการผลิตและจัดหาสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญของแนวร่วมปฏิบัติภายในปี 2030 ข้อตกลงร่วมกันในพื้นที่เหล่านี้เป็นองค์ประกอบสำคัญของทฤษฎีการเปลี่ยนแปลงของแนวร่วมปฏิบัติ ซึ่งส่งเสริมความมุ่งเน้นเกี่ยวกับการจัดการห่วงโซ่อุปทานที่ยั่งยืน และการพัฒนาธุรกิจที่อนุรักษ์ป่าตลอดห่วงโซ่มูลค่าระดับโลก แนวร่วมปฏิบัติอาศัยความร่วมมือกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย องค์กร และหน่วยงานรัฐในท้องถิ่นเพื่อสนับสนุนโครงการริเริ่มเหล่านี้ โดยหาทางใช้อิทธิพลของตนในฐานะผู้ค้าปลีกและผู้ผลิตชั้นนำของโลก 20 ราย เร่งรัดการเปลี่ยนแปลงเป็นวงกว้างในด้านของห่วงโซ่อุปทานสินค้าโภคภัณฑ์ พื้นที่การผลิต และเขตการปกครองทั่วโลก
สมาชิกของแนวร่วมปฏิบัติใช้อิทธิพลเหล่านี้ในการทำงานเพื่อพลิกโฉมพื้นที่ร่วมกัน โดยตั้งเป้าหมายครอบคลุมพื้นที่ขนาดเท่ากับขนาดฐานการผลิตของแนวร่วมปฏิบัติรวมกันภายในปี 2030 สมาชิกแนวร่วมปฏิบัติแต่ละรายมุ่งมั่นที่จะลงทุนในโครงการริเริ่มระดับท้องถิ่น ผลักดันการอนุรักษ์ป่าไม้ ฟื้นฟูระบบนิเวศ และความปรองดองของชุมชนกับการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์สำคัญ 4 รายการของแนวร่วมปฏิบัติ ได้แก่ น้ำมันปาล์ม, ถั่วเหลือง, กระดาษ และบรรจุภัณฑ์จากเยื่อไม้และเส้นใย และเนื้อวัว
กลยุทธ์จะเริ่มต้นด้วย "ระยะการเรียนรู้" จนถึงปี 2023 ซึ่งสมาชิกของแนวร่วมปฏิบัติทั้งหมดจะลงทุนในหนึ่งโครงการเป็นอย่างน้อยทุกปี โดยเป็นโครงการที่เลือกจากแฟ้มผลงาน "การเรียนรู้จากการลงมือทำ" ของโครงการปรับภูมิทัศน์ แฟ้มผลงานนี้ประกอบด้วย 20 โครงการที่ผลักดันผลลัพธ์การอนุรักษ์ป่าไม้ในหกประเทศ ได้แก่ เม็กซิโก บราซิล ชิลี รัสเซีย อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โครงการริเริ่มเหล่านี้คัดเลือกตามหลักการของแนวร่วมปฏิบัติว่าด้วยการลงมือทำร่วมกัน ดูได้ที่นี่
แนวร่วมปฏิบัติใช้ขนาดฐานการผลิตของตนเองในการกำหนดขนาดเป้าหมาย ขนาดฐานการผลิตนี้เองเป็นค่าประมาณกลางเพื่อแสดงผลกระทบและการใช้ประโยชน์ของแนวร่วมปฏิบัติในการผลิตสินค้าโภคภัณฑ์ ปัจจุบันแนวร่วมปฏิบัติกำลังคำนวณขนาดพื้นที่ที่เกี่ยวข้องกับสินค้าโภคภัณฑ์ที่มุ่งเน้น โดยร่วมมือกับ 3Keel และได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญจากองค์กรต่าง ๆ เช่น World Wildlife Fund, Accountability Framework Initiative และ Nature Conservancy การคำนวณและวิธีการนี้จะมีการเปิดเผยเมื่อเสร็จสมบูรณ์ และคาดว่าจะมีการปรับปรุงเป็นระยะ
เป้าหมายพื้นที่นี้เป็นผลจากการทำงานของสมาชิกผู้ทุ่มเทจากแนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่าของ CGF ที่นำโดยผู้ผลิต PepsiCo และผู้ค้าปลีก Tesco โดยได้รับการสนับสนุนจากผู้ร่วมสนับสนุนระดับคณะกรรมการของ CGF ของแนวร่วมปฏิบัติ Alexandre Bompard ซีอีโอและประธานของ Carrefour และ Grant F. Reid ซีอีโอของ Mars, Incorporated แนวร่วมปฏิบัตินี้ยังได้รับการสนับสนุนโดย Tropical Forest Alliance และ Proforest ในฐานะพันธมิตรทางกลยุทธ์และเทคนิค
การเปิดตัวกลยุทธ์ทางพื้นที่แนวร่วมปฏิบัติเกิดขึ้นหลังจาก Jim Andrew ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายความยั่งยืนของ PepsiCo แบ่งปันรายละเอียดของเป้าหมายของแนวร่วมปฏิบัติในระหว่างการประชุม FACT Dialogue Nature Day Panel ในการประชุมสุดยอดด้านการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของสหประชาชาติครั้งที่ 26 (COP26) ในเมืองกลาสโกว์ ซึ่งตามมาด้วยโครงการริเริ่มของรัฐบาลกว่า 100 ประเทศที่ตั้งเป้ายุติการตัดไม้ทำลายป่าภายในปี 2030 อันเป็นคำปฏิญาณที่ประชาคมสินค้าอุปโภคบริโภคและแนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่าน้อมรับมาปฏิบัติ
Ken Murphy ซีอีโอของ Tesco และสมาชิกคณะกรรมการ CGF กล่าวว่า "สมาชิกทุกรายของแนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่าอยู่ในเส้นทางการอนุรักษ์ป่าในระยะที่แตกต่างกันไป แต่เรามีเป้าหมายเดียวกันในการหยุดยั้งการตัดไม้ทำลายป่า และสนับสนุนผู้คนและชุมชนที่เรียกพื้นที่อาศัยที่สำคัญนี้ว่าบ้าน การเปิดตัวเป้าหมายด้านพื้นที่ร่วมกันของเรา คือผลลัพธ์จากการเรียนรู้ การแบ่งปันแนวปฏิบัติ และความมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียนานหลายเดือน ตอนนี้เราหวังว่าจะได้เปลี่ยนการเรียนรู้เหล่านี้เป็นการลงมือทำ ซึ่งจะส่งผลกระทบกับความยั่งยืนโดยตรงในภูมิภาคที่เราให้จัดหาสินค้าโภคภัณฑ์ครับ"
Ramon Laguarta ซีอีโอ PepsiCo และสมาชิกคณะกรรมการ CGF กล่าวว่า "ในฐานะบริษัทสินค้าอุปโภคบริโภค เราทุกคนต้องพึงพาสภาพภูมิอากาศที่มั่นคงและระบบนิเวศทางธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์ เป็นเรื่องสำคัญที่เราต้องเชื่อมโยงธุรกิจต่าง ๆ เข้ากับสุขภาพป่าไม้ในโลก ความเป็นอยู่ของชุมชน และความยั่งยืนของโลกของเราโดยตรง เรามีกลยุทธ์การพลิกโฉมระหว่างธุรกิจเรียกว่า pep+ (PepsiCo Positive) ที่เราจะเร่งรัดความพยายามเพื่อทำให้ระบบอาหารมีความยั่งยืน หมุนเวียนได้ และเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันมากขึ้น เราภาคภูมิใจที่ได้ทำงานร่วมกับเพื่อนสมาชิกแนวร่วมปฏิบัติ และร่วมมือกันเราจะช่วยสร้างอนาคตที่มั่นคงและยั่งยืนขึ้นสำหรับเราทุกคน"
Alexandre Bompard ซีอีโอและประธาน Carrefour และผู้สนับสนุนร่วมของแนวร่วมปฏิบัติกล่าวว่า "ในฐานะสมาชิกของแนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่า เราตระหนักว่า เราต้องขยายออกไปนอกห่วงโซ่อุปทานแต่ละระบบเพื่อปลดล็อกอนาคตป่าที่อุดมสมบูรณ์ครับ การลดผลกระทบเชิงลบที่มีต่อป่ายังไม่เพียงพอ นั่นเป็นสาเหตุที่เราสนับสนุนโครงการริเริ่มในท้องถิ่นทำงานโดยตรงลงพื้นที่ในสภาพแวดล้อมและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการตัดไม้ทำลายป่ามากที่สุด ด้วยกลยุทธ์ร่วมกันนี้ เราจะสร้างบรรทัดฐานอุตสาหกรรมใหม่เพื่อทำให้วิสัยทัศน์การอนุรักษ์ป่าในอนาคตกลายเป็นความจริง"
Grant F. Reid ซีอีโอของ Mars, Incorporated และผู้สนับสนุนร่วมของแนวร่วมปฏิบัติกล่าวว่า "ความร่วมมือและขนาดเป็นส่วนสำคัญในความสำเร็จของแนวร่วมปฏิบัติเพื่อการอนุรักษ์ป่า และกลยุทธ์ใหม่นี้แสดงถึงความมุ่งมั่นร่วมกันเพื่อผลักดันการปฏิบัติไปสู่อนาคตป่าที่อุดมสมบูรณ์ ด้วยการทำงานร่วมกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสียในพื้นที่ ประชาสังคม และรัฐบาล เราจะหาทางออกที่สร้างผลลัพธ์ และเราจะมีส่วนร่วมในการเร่งรัดความพยายามเพื่อกำจัดการตัดไม้ทำลายป่าในภูมิภาคที่สำคัญ"
สมาชิก CGF ที่ร่วมการประกาศในวันนี้ประกอบด้วยผู้ค้าปลีก 7 ราย ได้แก่ Carrefour, Jer?nimo Martins, METRO AG, Sainsbury's, Sodexo, Tesco และ Walmart — และผู้ผลิต 13 ราย ได้แก่ Asia Pulp and Paper (APP) Sinar Mas, Colgate-Palmolive Company, Danone, Essity, General Mills, Grupo Bimbo, Mars, Incorporated, Mondel?z International, Nestle, P&G, PepsiCo, Reckitt และ Unilever
ดูเพิ่มเติมที่ www.tcgfforestpositive.com
โลโก้ - https://mma.prnewswire.com/media/1279200/The_Consumer_Goods_Forum_Logo.jpg