นายพชร อารยะการกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บลูบิค กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ BBIK เปิดเผยว่า หลังจากนำบริษัทฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้วางเป้าหมายสร้างผลประกอบการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2564 มีอัตราเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจอยู่ในช่วงชะลอตัว โดยมีรายได้รวมอยู่ที่ 71.01 ล้านบาท เติบโต 118.75% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 15.47 ล้านบาท เติบโต 153.08% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รายได้และกำไรสุทธิที่เติบโตก้าวกระโดด เกิดจากการรับรู้รายได้ที่มาจากการขยายฐานลูกค้าใหม่ในไทยและต่างประเทศ เพื่อให้บริการคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันในไตรมาส 3 ที่ผ่านมา ส่วนใหญ่เป็นองค์กรขนาดใหญ่ ที่ต้องการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันเพื่อเพิ่มศักยภาพการเติบโตและขีดความสามารถการให้บริการแก่ลูกค้าเพิ่มขึ้น และบริษัทฯ สามารถขยายงานโปรเจ็กต์ในภูมิภาคอาเซียน โดยให้บริการพัฒนาแพลตฟอร์มด้านการเงินให้แก่ลูกค้าองค์กรที่เป็นสถาบันการเงินรายหนึ่งในประเทศอินโดนีเซีย รวมถึงรุกขยายธุรกิจสู่การให้บริการที่ปรึกษาด้านการปรับกระบวนการทำการตลาดด้วยเทคโนโลยีทุกแง่มุม (Marketing Transformation) รวมถึงเติมศักยภาพด้านการวางกลยุทธ์การตลาดครบวงจร (Marketing Strategy) นอกจากนี้ บริษัทฯ เริ่มรับรู้รายได้จากบริษัท ออร์บิท ดิจิทัล จำกัด (ORBIT) ซึ่งเป็นการร่วมทุนระหว่างบริษัทฯ ถือหุ้น 60% และบริษัท ปตท.น้ำมันและการค้าปลีก จำกัด (มหาชน) หรือ OR ถือหุ้น 40% ผ่านบริษัท มอดูลัส เวนเจอร์ จำกัด (Modulus) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย
ขณะที่รายได้จากบริการพัฒนาระบบดิจิทัลและให้คำปรึกษาด้านเทคโนโลยี (Digital Excellence and Delivery) และบริการที่ปรึกษาด้านการบริหารจัดการข้อมูลขนาดใหญ่และการวิเคราะห์ข้อมูลขั้นสูง (Big Data and Advanced Analytics) มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่วนการให้บริการคำปรึกษาด้านกลยุทธ์และการจัดการ (Management Consulting) ยังคงรักษาสัดส่วนรายได้และการเติบโตอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ มีรายได้รวม 197.93 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.32% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และมีกำไรสุทธิ 45.53 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 40.32%
ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ.บลูบิค กรุ๊ป หรือ BBIK กล่าวต่อว่า แนวโน้มธุรกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้มั่นใจจะสร้างเติบโตที่โดดเด่นได้อย่างต่อเนื่อง โดย ณ สิ้นไตรมาส 3/2564 บริษัทฯ มีแบ็กล็อก (ยอดขายรอรับรู้รายได้) ทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 390 ล้านบาท ในจำนวนนี้คาดว่าจะรับรู้รายได้ในปีนี้ประมาณ 90 ล้านบาท และส่วนที่เหลือจะทยอยรับรู้รายได้ในปี 2565 - 2570 นอกจากนี้จะเริ่มรับรู้ส่วนแบ่งกำไรจาก ORBIT (บริษัทร่วมทุนกับ OR) จากการให้บริการพัฒนาระบบ Loyalty Management System แก่ลูกค้า OR และฐานสมาชิกบลูการ์ด
ทั้งนี้ จากการที่รัฐบาลเริ่มเปิดประเทศตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายนที่ผ่านมา การผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ยกเลิกมาตรการเคอร์ฟิวในพื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศ รวมถึงอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ถือเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมเศรษฐกิจและธุรกิจคอนซัลต์ด้านดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน เนื่องจากเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวจะส่งผลให้บริษัทต่างๆ มีความมั่นใจและกล้าที่จะลงทุนเพื่อเพิ่มศักยภาพแก่องค์กรรองรับการขยายธุรกิจ โดยเฉพาะการลงทุนพัฒนานวัตกรรมและเทคโนโลยีเพื่อรองรับการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชัน การพัฒนากลยุทธ์และการบริหารจัดการเพื่อปลดล็อกศักยภาพการเติบโตแก่องค์กรอย่างไร้ขีดจำกัด
"เรามั่นใจว่าในปีนี้จะเป็นปีที่ดีและช่วงเวลาแห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดด โดยวางเป้าหมายผลดำเนินงานเติบโตไม่ต่ำกว่า 25 - 30% จากปีก่อน เนื่องจากการทำดิจิทัลทรานส์ฟอร์เมชันถือเป็นเทรนด์ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจทั่วโลกและจะต้องมีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่อการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ" นายพชร กล่าว
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย