Royal Commission for AlUla และองค์การยูเนสโก ประกาศความร่วมมือเผยแพร่มรดกทางวัฒนธรรมของซาอุดีอาระเบียสู่ทั้งโลก

ศุกร์ ๑๒ พฤศจิกายน ๒๐๒๑ ๐๘:๐๐
- ความตกลงใหม่นี้ซึ่งเพิ่งมีการลงนามในปารีส เป็นส่วนหนึ่งของแผนพัฒนาทางวัฒนธรรมที่ให้ความสำคัญกับทุกกลุ่มคนของ RCU และองค์การยูเนสโก ในการมีส่วนร่วมกับชุมชนท้องถิ่นและชุมชนทั่วโลก

- ความตกลงที่เพิ่งประกาศครั้งนี้ทำหน้าเป็นแผนแนวทางในการจัดแสดงการแนะนำมรดกทางกายภาพและภูมิปัญญาทางวัฒนธรรมของซาอุดีอาระเบียและเมืองอัลอูลาในเวทีโลก

- ความตกลงครั้งนี้สร้างมาตรฐานใหม่ให้กับการอนุรักษ์มรดก การศึกษาและการเสริมสร้างศักยภาพ ธรรมชาติและศิลปะสร้างสรรค์ในเมืองอัลอูลา

Royal Commission for AlUla (RCU) ได้ลงนามความตกลงเกี่ยวกับความสัมพันธ์เชิงกลยุทธ์กับองค์การยูเนสโก (UNESCO) เพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมภูมิทัศน์ทางวัฒนธรรมที่มีความสำคัญทางธรรมชาติและทางประวัติศาสตร์เป็นอย่างสูงในทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย

ความตกลงดังกล่าวลงนามในสำนักงานใหญ่ขององค์การยูเนสโกในปารีส และมุ่งเร่งให้เกิดความเฟื่องฟูทางวัฒนธรรมและสังคมเศรษฐกิจของเมืองอัลอูลา ด้วยการอนุรักษ์สถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ธรรมชาติ และวัฒนธรรม ตลอดจนวัฒนธรรมท้องถิ่น โดยการส่งเสริมการเสริมสร้างศักยภาพและการถ่ายทอดความรู้ร่วมกับผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกที่ได้เข้าร่วมในความพยายามของ RCU ในการเปลี่ยนเมืองอัลอูลาให้เป็นสถานที่ที่เป็นมาตรฐานสำหรับมรดก ธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม

ความร่วมมือครั้งนี้ลงนามโดยเจ้าชายบาดร์ บิน อับดุลเลาะห์ อัล ซาอุด (HH Prince Badr bin Abdullah Al-Saud) ผู้ว่าการ RCU และรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมซาอุดีอาระเบีย ร่วมกับ Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูเนสโก HH Princess Haifa AlMogrin ทูตและผู้แทนถาวรของซาอุดีอาระเบียประจำยูเนสโก และ Amr AlMadani ซีอีโอของ RCU

Audrey Azoulay ผู้อำนวยการใหญ่ขององค์การยูเนสโก ประกาศว่า "ความสัมพันธ์ระหว่างซาอุดีอาระเบียกับองค์การยูเนสโก เป็นการสานต่อประวัติศาสตร์ที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2489 เมื่อซาอุดีอาระเบียได้เข้าร่วมเป็นประเทศสมาชิกขององค์การของเรา ในวันนี้ ความร่วมมือระหว่างองค์การยูเนสโกและราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียได้ดำเนินไปข้างหน้าด้วยอีกก้าวที่สำคัญ เพื่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของภูมิภาคอัลอูลา"

เจ้าชายบาดร์ ผู้ว่าการ RCU และรัฐมนตรีกระทรวงวัฒนธรรมซาอุดีอาระเบีย กล่าวว่า "เป็นวิสัยทัศน์ของเจ้าชายโมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน (His Royal Highness Prince Mohammed bin Salman) มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ที่จะเปลี่ยนเมืองอัลอูลาให้เป็นสถานที่ระดับโลกในด้านมรดก ธรรมชาติ ศิลปะ และวัฒนธรรม การลงนามในความตกลงที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนนี้เป็นอีกช่วงเวลาสำคัญในเส้นทางของเรา ในการบรรลุเป้าหมายดังกล่าวนี้ และถือเป็นการสานต่อความสัมพันธ์อันยืนยาวระหว่างซาอุดีอาระเบีย RCU และองค์การยูเนสโก ความร่วมมือครั้งนี้สอดคล้องกับแผนยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบียและเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนของสหประชาชาติ โดยจะเชื่อมต่ออดีต ปัจจุบัน และอนาคตของเมืองอัลอูลา ด้วยการใช้ประโยชน์จากพลังแห่งการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมเป็นตัวเร่งให้เกิดการพัฒนาที่ยั่งยืนและการเปลี่ยนแปลงที่มีผลในระยะยาว"

HH Princess Haifa AlMogrin ทูตและผู้แทนถาวรของซาอุดีอาระเบียประจำยูเนสโก กล่าวว่า "ราชอาณาจักรซาอุดีอาระเบียเป็นที่ตั้งของสถานที่ที่เป็นมรดกสำคัญทางวัฒนธรรมที่มีเอกลักษณ์สูงสุดแห่งหนึ่ง โดยเมืองอัลอูลานี้นับว่ามีความโดดเด่นและสร้างแรงบันดาลใจมากที่สุด ในฐานะสถาบันระดับโลกที่มุ่งเชิดชูและอนุรักษ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมและมรดก องค์การยูเนสโกจะมีบทบาทสำคัญในการช่วยขับเคลื่อนพันธกิจของ RCU ซึ่งมุ่งเติมเต็มศักยภาพของภูมิภาคอัลอูลา ตลอดจนผู้คนในภูมิภาค สถานที่สำคัญ และสิ่งแวดล้อมทางธรรมชาติ ด้วยโครงการการพัฒนาและโครงการทางเศรษฐกิจที่หลากหลายซึ่งสะท้อนยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบียและความพยายามในการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การยูเนสโก"

Amr AlMadani ซีอีโอของ RCU กล่าวว่า "ความร่วมมือและการเป็นพันธมิตรที่ได้ประโยชน์ร่วมกันนี้มีความสำคัญต่อยุทธศาสตร์ของเรา อีกทั้งยังแสดงถึงการหารือที่เปิดกว้างและมีส่วนร่วมระหว่างกัน ซึ่งส่งเสริมสถานะการเป็นมรดกของเมืองอัลอูลา และสะท้อนศักยภาพของวัฒนธรรมในการเป็นตัวขับเคลื่อนการพัฒนาที่ยั่งยืนและมีผลในระยะยาว ความสอดคล้องระหว่าง RCU องค์การยูเนสโก และยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบียช่วยขับเคลื่อนการเติบโต ส่งเสริมการแลกเปลี่ยนทางปัญญาความรู้ วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ และเอื้อต่อการพัฒนาสติปัญญาในระดับโลก สอดรับกับเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนทั้ง 17 เป้าหมาย ความตั้งใจของเราในการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลา มุ่งเน้นการช่วยนำเมืองแห่งนี้มาสู่ทั้งโลกเพื่อพัฒนาความรู้ร่วมกัน ตลอดจนเพิ่มความเข้าใจเกี่ยวกับอดีตของเมืองอัลอูลา และความคาดหมายในอนาคตของเมืองแห่งนี้ ด้วยการทำให้เมืองนี้เป็นสถานที่ที่มีความสำคัญระดับโลกสำหรับทั้งนักท่องเที่ยวและคนในท้องถิ่น ด้วยความร่วมมือกับองค์การยูเนสโก"

เมืองอัลอูลาบอกเล่าประวัติศาสตร์ 200,000 ปีของมนุษยชาติ โดยเป็นที่ตั้งของอารยธรรมโบราณ รวมถึง อารยธรรม Dadanties, Lihyanites และ Nabateans ซึ่งต่างได้ทิ้งร่องรอยที่ไม่อาจลบเลือนได้ไว้ในพื้นที่ โดยเฉพาะในสุสานขนาดใหญ่ที่สลักอยู่ในภูเขาซึ่งเป็นการเก็บรักษาไว้ที่ยังคงปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจน

ความร่วมมือครั้งนี้จะนำไปสู่การดำเนินโครงการที่มุ่งเน้นความรู้เป็นพื้นฐาน ในการเปลี่ยนแปลงมรดกทางวัฒนธรรมและภูมิทัศน์ทางธรรมชาติของเมืองอัลอูลาอย่างยั่งยืนและมีความรับผิดชอบ และทำให้พื้นที่ขนาดใหญ่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบียนี้เป็นพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก

การพัฒนาเมืองอัลอูลาจะทำให้เมืองแห่งนี้เป็นสถานที่อันมีเอกลักษณ์ และเป็นที่ตั้งของประชากรท้องถิ่นที่มีความรุ่มรวยทางวัฒนธรรม ซึ่งได้รับการส่งเสริมให้มีปฏิสัมพันธ์และสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักท่องเที่ยวผ่านการเล่าเรื่องอย่างมีความรู้

นักวิชาการชั้นนำจากทั่วโลกจะได้รับเชิญให้ไปสำรวจเมืองอัลอูลา ผ่านโอกาสที่เป็นประสบการณ์เชิงลึก ซึ่งออกแบบมาเพื่อปลดล็อคภาษาและสังคมโบราณซึ่งมีการเก็บรักษาไว้ในเมืองอัลอูลา

RCU จะทำงานร่วมกับองค์การยูเนสโกและผู้เชี่ยวชาญระดับโลกในโครงการสำคัญ อย่างเช่น

  • โครงการ Memory of the World (ความทรงจำแห่งโลก) มุ่งเน้นการอนุรักษ์มรดกภูมิปัญญาด้านสารนิเทศ
  • โครงการ UNESCO-Kingdoms Institute Fellowships Programme สำหรับการวิจัย การอนุรักษ์ การส่งเสริม และการถ่ายทอดมรดก

เมืองอัลอูลาเป็นดั่งอัญมณีในมงกุฎแห่งมรดกของซาอุดีอาระเบีย และเป็นส่วนหนึ่งของแผนยุทธศาสตร์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย ในการปลดล็อคศักยภาพทางวัฒนธรรม การท่องเที่ยว และเศรษฐกิจของราชอาณาจักรแห่งนี้ วาระด้านการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การยูเนสโกและยุทธศาสตร์ Vision 2030 มีความสอดคล้องกันในเชิงกลยุทธ์ในการส่งเสริมการศึกษา วัฒนธรรม และวิทยาศาสตร์ ให้เป็นแพลตฟอร์มที่ทรงพลังในการกระตุ้นให้เกิดโอกาสทางเศรษฐกิจ การสร้างงาน และการเติบโต

ความร่วมมือครั้งนี้ครอบคลุมระยะเวลาห้าปีข้างหน้าและมุ่งเน้น 10 โครงการ อีกทั้งยังครอบคลุมรายการสถานที่ทางธรรมชาติและทางวัฒนธรรมแห่งใหม่ ภายใต้การจัดหมวดหมู่ขององค์การยูเนสโกเพื่ออนุรักษ์และส่งเสริมมรดกของท้องถิ่น ตลอดจนภูมิทัศน์ทางธรรมชาติและระบบนิเวศ ภาคส่วนสำคัญที่จะมีผลต่อความพยายามนี้ ได้แก่ การอนุรักษ์มรดก การศึกษา การเสริมสร้างศักยภาพ ธรรมชาติ และศิลปะสร้างสรรค์ โดยมีผู้คนในท้องถิ่นเป็นผู้ได้รับประโยชน์รายหลักจากการพัฒนาเมืองอัลอูลา

ด้วยการมีส่วนช่วยในการปลดล็อคศักยภาพ องค์ความรู้ และวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ที่ถูกปิดซ่อนไว้มาเป็นเวลานาน ซึ่งล้วนประกอบกันเป็นอัตลักษณ์และมรดกของซาอุดีอาระเบีย เมืองอัลอูลาจะทำหน้าที่เป็นห้องทดลองสำหรับโมเดลการพัฒนาที่ยั่งยืนและแนวปฏิบัติด้านการอนุรักษ์ พร้อมทั้งยังเอื้อให้องค์การยูเนสโกสามารถเพิ่มบทบาทในภูมิภาค

ความตกลงครั้งนี้เป็นการสานต่อประวัติศาสตร์อันยาวนานของการทำงานร่วมกันระหว่างซาอุดีอาระเบียกับองค์การยูเนสโก ซึ่งริเริ่มขึ้นตั้งแต่ปี 2489 เมื่อซาอุดีอาระเบียเป็นหนึ่งใน 20 ประเทศที่ได้ให้สัตยาบันธรรมนูญขององค์การยูเนสโก ตลอดหลายปีที่ผ่านมา ความสัมพันธ์นี้ได้เติบโตอย่างต่อเนื่องและพัฒนาในทั้งสองทิศทาง โดยองค์การยูเนสโกได้ขึ้นทะเบียนเมืองโบราณเฮกรา (Hegra) ในเมืองอัลอูลาเป็นแหล่งมรดกโลกแห่งแรกของซาอุดีอาระเบียในปี 2551 นอกจากนี้ซาอุดีอาระเบียยังได้เป็นสมาชิกคณะกรรมาธิการบริหาร (Executive Committee) ขององค์การยูเนสโกในปี 2562 และได้รับเลือกให้เป็นคณะกรรมาธิการมรดกภูมิปัญญาทางวัฒนธรรม (Intangible Cultural Heritage Committee) เป็นครั้งแรกในปี 2563

หมายเหตุสำหรับบรรณาธิการ :
ชื่อเมืองอัลอูลาในภาษาอังกฤษสะกดว่า AlUla เสมอ ไม่ใช่ Al-Ula

เกี่ยวกับ Royal Commission for AlUla
Royal Commission for AlUla (RCU) ก่อตั้งขึ้นตามพระราชกฤษฎีกาในเดือนกรกฎาคมปี 2560 เพื่ออนุรักษ์และพัฒนาเมืองอัลอูลาในภาคตะวันตกเฉียงเหนือของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งมีความสำคัญในเชิงวัฒนธรรมและธรรมชาติ แผนการระยะยาวของ RCU คือการพัฒนาเศรษฐกิจและเมืองด้วยความระมัดระวัง รับผิดชอบ และยั่งยืน พร้อมกับอนุรักษ์มรดกทางประวัติศาสตร์และธรรมชาติในพื้นที่ ตลอดจนส่งเสริมให้เมืองอัลอูลาเป็นจุดหมายปลายทางการอยู่อาศัย ทำงาน และท่องเที่ยว เป้าหมายเหล่านี้ก่อให้เกิดโครงการมากมายทั้งในด้านโบราณคดี การท่องเที่ยว วัฒนธรรม การศึกษา และศิลปะ ซึ่งสะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการตอบสนองต่อความหลากหลายทางเศรษฐกิจ การสร้างพลังให้กับชุมชน และการอนุรักษ์มรดกตกทอดตามวิสัยทัศน์ Vision 2030 ของซาอุดีอาระเบีย

เกี่ยวกับองค์การยูเนสโก
องค์การยูเนสโก (UNESCO) คือองค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ มีจุดมุ่งหมายในการสร้างสันติภาพผ่านความร่วมมือระหว่างประเทศในด้านการศึกษา วิทยาศาสตร์ และวัฒนธรรม โครงการต่าง ๆ ขององค์การยูเนสโกมีบทบาทในการบรรลุเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนตามวาระการพัฒนา ค.ศ. 2030 ที่มีการตกลงในที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติเมื่อปี 2558

รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/1684360/AlUla_Image_of_Hegra.jpg
รูปภาพ - https://mma.prnewswire.com/media/1684361/AlUla_Signing_of_partnership.jpg



ที่มา:  พีอาร์นิวส์ไวร์/อินโฟเควสท์

ข่าวประชาสัมพันธ์ล่าสุด

๑๓:๒๔ แจกจริง! แบรนด์ซุปไก่สกัดส่งมอบรถเทสล่า มูลค่า 1.649 ล้านบาท ให้ผู้โชคดี ในแคมเปญ ดื่มแบรนด์ สแกนเลขในขวด ปี
๑๓:๕๐ GFC ตอบโจทย์ทุกความปลอดภัยเรื่องอาคาร - ถังแช่แข็งตัวอ่อน เปิดให้บริการสำหรับผู้มีบุตรยากตามปกติครบ 3
๑๓:๕๗ KJL ลุยภาคใต้! จัดใหญ่สัมมนา 'รวมพลคนไฟฟ้า ON TOUR' ที่ภูเก็ต
๐๒ เม.ย. แว่นท็อปเจริญ จับมือ กรมกำลังพลทหารบก แนะแนวการศึกษาและอาชีพ สร้างโอกาสแก่ทหารกองประจำการและครอบครัว
๐๒ เม.ย. AnyMind Group คว้ารางวัล Gold ในงาน Martech Innovation Awards 2025
๐๒ เม.ย. โชว์พลังดีไซน์ไทยในงาน STYLE Bangkok 2025 รวมแบรนด์ดาวรุ่งจาก Talent Thai และ Designers' Room ที่คุณไม่ควรพลาด
๐๒ เม.ย. ธนาคารกสิกรไทย จัดสัมมนาใหญ่ K WEALTH Forum: เจาะลึก 5 ปัจจัยเปลี่ยนเกมการลงทุนโลก
๐๒ เม.ย. PSP ปิดดีลทุ่ม 409.5 ลบ. ถือหุ้นใน รีไซเคิล เอ็นจิเนียริ่ง (RE) ปักหมุดธุรกิจสู่ศูนย์กลางรีไซเคิลสารเคมีแห่งภูมิภาค
๐๒ เม.ย. กลุ่มซีไอเอ็มบี เปิดรับสมัครสอบชิงทุน CIMB ASEAN Scholarship 2025 ทุนเรียนต่อปริญญาตรี - ปริญญาโท พร้อมโอกาสร่วมงานกับกลุ่มซีไอเอ็มบี
๐๒ เม.ย. ศูนย์การค้าเครือเอ็ม บี เค เปิดพิกัดจุดสรงน้ำพระ เสริมสิริมงคลกับเทศกาล สงกรานต์อิ่มบุญ