แพทย์หญิง เจรียง จันทรกมล ประธานบริษัทโรงพยาบาลในเครือบางปะกอกและโรงพยาบาลปิยะเวท กล่าวว่า การจัดตั้งกองทรัสต์ BHGRT มีวัตถุประสงค์เพื่อระดมทุนสำหรับการขยายธุรกิจของกลุ่มโรงพยาบาลเครือบางปะกอกและโรงพยาบาลปิยะเวท ที่มีการเติบโตมาอย่างต่อเนื่องจากความต้องการใช้บริการที่เพิ่มขึ้นในธุรกิจโรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพ
ทั้งนี้ กองทรัสต์ BHGRT คาดว่าจะเป็นทรัสต์กองแรกของไทยที่ลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ประเภทธุรกิจโรงพยาบาลและการดูแลสุขภาพ (Hospital and Healthcare) ซึ่งมีผลการดำเนินงานที่ดี มีความมั่นคงทางธุรกิจ และเป็นกิจการที่เป็นประโยชน์ต่อสังคม โดยได้แต่งตั้งบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการกองทรัสต์ และมีธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นที่ปรึกษาทางการเงินร่วม ในการยื่นขออนุญาตการจัดตั้งกองทรัสต์และการเสนอขายหน่วยทรัสต์ของกองทรัสต์ BHGRT โดยมีบริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน วรรณ จำกัด เป็นทรัสตีของกองทรัสต์ และมีบริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) และบริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายร่วม
ด้าน บทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย สำหรับการเสนอขายหน่วยทรัสต์ ร่วม ระบุว่า กองทรัสต์ BHGRT จะเข้าลงทุนในสิทธิการเช่าที่ดินและอาคาร 30 ปีและกรรมสิทธิ์ของอุปกรณ์ทางการแพทย์ที่สำคัญของโครงการ BPK 1 และ BPK 9 ซึ่งตั้งอยู่ในทำเลที่ดี มีศักยภาพ อยู่ภายใต้ทีมผู้บริหารที่มีความชำนาญและมีประสบการณ์ในธุรกิจ ภายใต้สัญญาเช่าดำเนินการระยะเวลา 3 ปี และมีคำมั่นในการต่ออายุสัญญาเช่าดำเนินการ 9 คราว รวม 30 ปี โดยมีการกำหนดค่าเช่าเริ่มต้นทั้งจำนวนเป็นจำนวนคงที่และมีการเติบโตทุกๆ 3 ปี อีกทั้งค่าใช้จ่ายต่างๆ (OPEX & CAPEX) ที่เกี่ยวข้องกับทรัพย์สินดังกล่าวจะถูกรับผิดชอบโดยกลุ่มบริษัท บางปะกอก ฮอสพิทอล กรุ๊ป (BHG) ทำให้กองทรัสต์ มีรายได้ที่มั่นคง สามารถจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอที่ประมาณ 6% ต่อปีโดยประมาณ ขณะที่ expected IRR ตลอดอายุสัญญาเช่า 30 ปี อยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 6.3%
โดยโครงการ BPK 1 และ BPK 9 เป็นทรัพย์สินหลักของ BHG ซึ่งมีประสบการณ์ในการดำเนินธุรกิจสถานพยาบาลและสุขภาพมานานถึง 40 ปี ทั้งในกรุงเทพมหานครและจังหวัดอื่นๆ ประกอบด้วยโรงพยาบาลจำนวน 7 แห่ง และโพลีคลินิกจำนวน 2 แห่ง โดยแบ่งเป็นเขตกรุงเทพมหานคร จำนวน 6 แห่ง และปริมณฑล จำนวน 3 แห่ง
รายได้รวมและ EBITDA รวมของโครงการ BPK 1 และ BPK 9 ในปี 2563 คิดเป็น 49% และ 81% ของรายได้และ EBITDA รวมของกลุ่ม BHG ตามลำดับ อีกทั้งกองทรัสต์มีโอกาสในการลงทุนในทรัพย์สินเพิ่มเติมจากข้อตกลงที่ BHG ให้แก่กองทรัสต์ โดยกองทรัสต์มีสิทธิเสนอการเข้าลงทุนในทรัพย์สินที่อยู่ภายใต้สิทธิเสนอเพื่อการลงทุน (Option to Buy/Lease) และสิทธิในการปฏิเสธก่อน (Right of First Refusal) เป็นระยะเวลา 30 ปี
โครงสร้างการเสนอขายหน่วยทรัสต์ โดยมีสมมติฐานมูลค่าทรัพย์สินหลักที่กองทรัสต์ที่จะเข้าลงทุนครั้งแรกอยู่ที่ไม่เกิน 5.2 พันล้านบาท (ราคาประเมินต่ำสุดโดยผู้ประเมินทรัพย์สินอิสระอยู่ที่ 4.93 พันล้านบาท) โดยแหล่งเงินทุนของกองทรัสต์จะมาจากเงินกู้เงินจากสถาบันการเงินประมาณ 1 พันล้านบาท และการเสนอขายหน่วยทรัสต์ที่จะออกและเสนอขาย IPO ไม่เกิน 421.7ล้านหน่วย
ประเมินราคาเหมาะสมของหน่วยทรัสต์เท่ากับ 10.40 บาท อัพไซด์สำคัญในอนาคตจะมาจาก 1) การที่กองทรัสต์อาจสามารถบริหารต้นทุนดอกเบี้ยให้ต่ำลงได้ ผ่านทางการรีไฟแนนซ์เงินกู้สถาบันการเงินหรือออกหุ้นกู้ และ 2) การซื้อทรัพย์สินเข้ามาเพิ่มเติมจากกลุ่ม BHG
ด้านบทวิเคราะห์ บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่ายร่วม ระบุว่า คาดกองทรัสต์ BHGRT จะให้เงินปันผลและคืนทุน (ถ้ามี) ปีละ 0.6 บาท/หน่วย (สมมติฐานอัตราการจ่ายผลประโยชน์ตอบแทน 100%) ในช่วงปี 2565 - 2567 คิดเป็นผลตอบแทนปีละ 6.0% คำนวณจากพาร์ 10 บาท และจะเติบโตตามการปรับค่าเช่าขึ้นทุก 3 ปี และกองทรัสต์มีรายได้ชัดเจนเนื่องจาก
(1) BHG จะเป็นผู้รับผิดชอบเงินลงทุนและค่าใช้จ่ายในอนาคตที่เกี่ยวกับทรัพย์สิน
(2) กลุ่มบริษัท บางปะกอก ฮอสพิทอล กรุ๊ป (BHG) มี EBITDA ในไตรมาส 1/2564 สูงกว่าค่าเช่าที่จ่ายให้ BHGRT ถึง 3 เท่า
(3) การขยายธุรกิจของ BHG จะเพิ่ม EBITDA และสร้างความมั่นคงให้กับรายได้ของ BHGRT
(4) BHG มีแรงจูงใจในการต่อสัญญาเนื่องจากโครงการ BPK1 และ BPK9 เป็นทรัพย์สินหลักของเครือ และ BHG จะถือหน่วยลงทุนใน BHGRT อย่างน้อย 15%
โดยประเมินมูลค่า BHGRT ที่ 10.20 บาทต่อหน่วย และ IRR ที่ 6.4% โดย BHG เป็นหนึ่งในเครือโรงพยาบาลเอกชนที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย ทั้งนี้ BHG จะเช่าโรงพยาบาลและอุปกรณ์การแพทย์จาก BHGRT เป็นเวลา 3 ปี และให้คำมั่นจะต่อสัญญาเช่า 9 ครั้ง ครั้งละ 3 ปี (รวม 30 ปี) ให้เงินปันผลที่น่าสนใจ และค่าเช่าจะปรับขึ้น 6% ทุกสามปี มีผลตอบแทนมั่นคง
ที่มา: ไออาร์ พลัส