นายณัฐกฤติ เหล่าทวีทรัพย์ ผู้อำนวยการอาวุโสที่ปรึกษาการลงทุนทิสโก้เวลธ์ ธนาคารทิสโก้ จำกัด (มหาชน) (Mr.Nattakrit Laotaweesap, Head Of Wealth Advisory of TISCO Bank Public Company Limited) เปิดเผยว่า ช่วงโค้งสุดท้ายของปี เป็นช่วงที่ลูกค้าเริ่มมองหาผลิตภัณฑ์การเงินที่ช่วยบริหารจัดการภาษี ดังนั้น ธนาคารทิสโก้จึงแนะนำวิธีลดหย่อนภาษีเพื่อช่วยสร้างประโยชน์สองต่อให้กับลูกค้า คือ ใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยบริหารจัดการภาษี พร้อมกับเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีตามเมกะเทรนด์ของโลก และใช้ผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยบริหารจัดการภาษีพร้อมกับวางแผนลดความเสี่ยงรายจ่ายด้านสุขภาพ พร้อมวางแผนเพื่อการเกษียณ รับเมกะเทรนด์สังคมสูงอายุของคนไทยที่มีโอกาสอายุยืนถึง 100 ปี *
สำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยบริหารจัดการภาษีไปพร้อมกับเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีตามเมกะเทรนด์ของโลก ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลงทุนผ่านกองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) และกองทุนรวมเพื่อการออม (SSF) ที่มีนโยบายการลงทุนในธุรกิจเทคโนโลยี (Technology) และธุรกิจนวัตกรรมการแพทย์ (Healthcare Innovation) โดยหุ้นกลุ่ม Technology เป็นหนึ่งในเมกะเทรนด์ที่กำลังเติบโตจากการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมในการดำเนินชีวิตของคน โดยมี COVID -19 เป็นตัวเร่งการใช้งาน
ซึ่งผลตอบแทนย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา กลุ่มเทคโนโลยีในตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำผลตอบแทนได้สูงถึง 659% ขณะที่หุ้นกลุ่มนวัตกรรมการแพทย์ ก็มีโอกาสเติบโตอีกมากตามนวัตกรรมการแพทย์ใหม่ๆ ที่ออกมาอย่างต่อเนื่อง เช่น mRNA ที่นอกจากจะนำมาใช้ผลิตวัคซีนป้องกัน COVID-19 แล้ว ยังต่อยอดไปยังการรักษาโรคมะเร็งได้อีกด้วย โดยผตอบแทนย้อนหลังในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา หุ้นกลุ่มเฮลธ์แคร์ของตลาดหุ้นสหรัฐฯ ทำผลตอบแทนได้สูงถึง 376% (ณ วันที่ 17 พ.ย. 2564) ทั้งนี้ การลงทุนใน RMF และ SSF ที่เป็นการลงทุนระยะยาว ตั้งแต่ 5 - 10 ปีเป็นต้นไป เหมาะอย่างยิ่งกับการลงทุนในหุ้นกลุ่มเมกะเทรนด์ของโลก ซึ่งเป็นเทรนด์ที่อยู่กับสังคมทั่วโลกในระยะยาว และมีโอกาสสร้างผลตอบแทนที่ดีได้อย่างต่อเนื่อง
โดยลูกค้าสามารถนำเงินลงทุนใน RMF ลดหย่อนภาษีได้ 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 500,000 บาท และเมื่อรวมกับการลงทุนการออมเพื่อเกษียณอายุอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ต้องลงทุนอย่างน้อย 5 ปี และต้องลงทุนต่อเนื่องจนอายุครบ 55 ปี (นับแบบวันชนวัน) และสามารถนำเงินลงทุนใน SSF ลดหย่อนภาษีได้ สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 200,000 บาท และเมื่อรวมกับการลงทุนการออมเพื่อเกษียณอายุอื่นๆ ต้องไม่เกิน 500,000 บาท ถือครองอย่างน้อย 10 ปี (นับแบบวันชนวัน)
ส่วนผลิตภัณฑ์ทางการเงินที่ช่วยบริหารจัดการภาษีพร้อมกับวางแผนลดความเสี่ยงรายจ่ายด้านสุขภาพ และวางแผนเพื่อการเกษียณนั้น ธนาคารทิสโก้แนะนำให้เลือกซื้อประกันสุขภาพ และประกันโรคร้ายแรงเพื่อลดความเสี่ยงจากค่ารักษาพยาบาลที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นกว่า 8% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราที่สูงกว่าเงินเฟ้อ และหากเป็นโรคร้ายแรงอย่างเช่น โรคมะเร็ง โรคหัวใจก็อาจต้องใช้เงินในการรักษาหลายล้านบาท นอกจากนี้ ยังเป็นอีกหนึ่งวิธีวางแผนการเงินที่ช่วยให้ผู้ที่ป่วยด้วยโรคร้ายต่างๆ สามารถเข้าถึงนวัตกรรมการแพทย์สมัยใหม่ เพิ่มโอกาสการรักษาให้หายขาด ทั้งนี้ ลูกค้าสามารถนำค่าเบี้ยส่วนของประกันสุขภาพมาลดหย่อนภาษีได้ไม่เกิน 25,000 บาทต่อปี แต่เมื่อรวมเบี้ยประกันชีวิตต้องไม่เกิน 100,000 บาท
นอกจากนี้ ยังแนะนำให้เลือกซื้อประกันบำนาญรับสังคมสูงอายุที่คนไทยมีโอกาสอายุยืนได้ถึง 100 ปี* โดยเน้นให้เลือกประกันบำนาญที่สร้างผลประโยชน์ในขณะดำรงชีวิต (Living Benefit) ในระดับสูง เพื่อที่จะใช้ชีวิตหลังเกษียณได้ตามที่มุ่งหวังไว้ และมีเงินเพียงพอสำหรับรองรับค่าใช้จ่ายตลอดช่วงหลังเกษียณอายุ ซึ่งปัจจุบันมีประกันบำนาญที่ลูกค้าสามารถเลือกรับเงินบำนาญได้ปีละ 20 - 36% ของจำนวนเงินเอาประกันภัย และคุ้มครองถึงอายุ 99 ปี ซึ่งลูกค้าสามารถนำค่าเบี้ยประกันภัยไปหักลดหย่อนภาษีได้สูงสุดถึง 300,000 บาท ตามเกณฑ์ที่กรมสรรพากรกำหนด
อย่างไรก็ตาม ผู้ซื้อควรทำความเข้าใจรายละเอียดความคุ้มครองและเงื่อนไข ก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง
"ธนาคารทิสโก้แนะนำให้ลูกค้าใช้ทั้งสองแนวทางข้างต้น เพื่อให้ได้ประโยชน์สองต่อ ทั้งจากการบริหารจัดการภาษี และเพิ่มโอกาสสร้างผลตอบแทนจากการลงทุนระยะยาว อีกทั้งยังช่วยป้องกันความเสี่ยงจากค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ รวมไปถึงยังเป็นการวางแผนเกษียณที่ดีอีกด้วย" นายณัฐกฤติกล่าว
ที่มา: ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป