การจับมือเป็นพันธมิตรในครั้งนี้เป็นการผนึกความเชี่ยวชาญ และจุดแข็งด้านโซลูชันพลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืนของทั้งสองบริษัท เพื่อเป้าหมายที่จะลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในภูมิภาค โดยทั้งสองบริษัทจะร่วมกันศึกษาโอกาสทางธุรกิจในการพัฒนาระบบบริหารจัดการพลังงานอย่างระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลาง (District Cooling System) บริการแพลตฟอร์มการรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนข้ามพรมแดน (Cross-Border Renewable Energy Certificates หรือ RECs) และโซลูชันพัฒนาเมืองอัจฉริยะ เพื่อต่อยอดการพัฒนาพลังงานฉลาดเพื่อความยั่งยืนในภูมิภาค คาดว่ามูลค่าตลาดพลังงานสะอาดทั่วโลกจะเติบโตสูงถึง 1,977.6 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 2030 โดยเอเชียแปซิฟิกจะมีสัดส่วนตลาดที่สูงที่สุด ด้วยอัตราการเติบโตต่อปีสูงถึงร้อยละ 9.6* ซึ่งความร่วมมือระหว่างบ้านปู เน็กซ์ และเอสพี กรุ๊ป ในครั้งนี้ จะสามารถรองรับความต้องการด้านโซลูชันพลังงานสะอาดที่เพิ่มขึ้นได้ในอนาคต
นางสมฤดี ชัยมงคล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) และบริษัท บ้านปู เน็กซ์ จำกัด กล่าวว่า "บ้านปู เน็กซ์ ดำเนินงานภายใต้กลยุทธ์ Greener & Smarter ของกลุ่มบ้านปู ซึ่งมุ่งนำโซลูชันพลังงานฉลาด (Smart Energy Solutions) มาขับเคลื่อน 5 กลุ่มธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจพลังงานหมุนเวียน ธุรกิจแบตเตอรี่ ธุรกิจซื้อขายไฟฟ้า ธุรกิจอี-โมบิลิตี้ และธุรกิจพลังงานฉลาด เรามีพอร์ตโฟลิโอลูกค้าในหลากหลายธุรกิจ และครอบคลุมทุกอุตสาหกรรม บ้านปู เน็กซ์ และเอสพี กรุ๊ปมีวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจที่สอดคล้องกัน คือ มุ่งผลักดันการใช้พลังงานสะอาดเพื่อความยั่งยืนในวงกว้าง และนำโซลูชันด้านพลังงานสะอาดที่ผสานเทคโนโลยี ไปขับเคลื่อนธุรกิจ เศรษฐกิจ และความเป็นอยู่ของผู้คนให้ดีขึ้นอย่างยั่งยืน ทั้งสองบริษัทจะร่วมกันหาโอกาสในการเสริมแกร่งธุรกิจ ตลอดจนขยายธุรกิจที่มีศักยภาพการเติบโตไปยังประเทศต่างๆ ในแถบเอเชียแปซิฟิก ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจ District Cooling System บริการ Cross-border Renewable Energy Certificates Platform และโครงการพัฒนาสมาร์ทซิตี้ เป็นต้น ซึ่งความร่วมมือใน 3 ส่วนนี้มีวัตถุประสงค์ในการออกแบบ และพัฒนาระบบจัดการพลังงานสะอาดให้มีประสิทธิภาพ เพื่อผลลัพธ์ด้านการประหยัดพลังงานให้กับลูกค้าของทั้งสองบริษัท ช่วยให้ต้นทุนด้านพลังงานถูกลง ได้กำไรมากขึ้น และสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจให้กับลูกค้า เรามั่นใจว่า ความเชี่ยวชาญในเรื่องการออกแบบโซลูชันพลังงานสะอาด และดิจิทัลแพลตฟอร์มของบ้านปู เน็กซ์ที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างตรงจุด และเครือข่ายธุรกิจของเอสพี กรุ๊ป ที่มีอยู่ทั่วทั้งภูมิภาคจะช่วยเสริมความแข็งแกร่งทางธุรกิจของทั้งสององค์กรได้"
นายสแตนลีย์ หวง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เอสพี กรุ๊ป กล่าวว่า "เอสพี กรุ๊ป รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นพันธมิตรกับบ้านปู เน็กซ์ เพื่อร่วมผลักดันการใช้งานพลังงานสะอาดในประเทศไทย และเอเชียแปซิฟิก โดยเราเชื่อว่า ความเชี่ยวชาญด้านโซลูชันพลังงานสะอาด และเทคโนโลยีพลังงานของทั้งสองบริษัทจะช่วยให้ภูมิภาคสามารถลดปริมาณการปล่อยก๊าซคาร์บอน รวมถึงการนำโซลูชันประสิทธิภาพสูงไปใช้สนับสนุนการพัฒนาอย่างยั่งยืน และการเป็นส่วนหนึ่งเพื่อขับเคลื่อนการเปลี่ยนผ่านสู่พลังงานสะอาดในภูมิภาค ถือเป็นหนึ่งในวิสัยทัศน์ส่งเสริมอนาคตของพลังงาน และสร้างอนาคตที่ยั่งยืนให้กับทุกคน"
เอสพี กรุ๊ป ได้เริ่มดำเนินการให้บริการระบบจัดการพลังงาน และระบบปรับอากาศภายในอาคารเพื่อลดค่าใช้จ่ายตั้งแต่ปี 2006 โดยเป็นผู้ออกแบบ สร้าง และให้บริการเครือข่ายระบบผลิตความเย็นจากส่วนกลางที่ใหญ่ที่สุดในโลก ที่มาริน่า เบย์ ประเทศสิงคโปร์ และยังได้นำความเชี่ยวชาญ และนวัตกรรมเทคโนโลยี District Cooling System ไปติดตั้งให้กับโครงการราฟเฟิลส์ ซิตี้ เมืองฉงชิ่ง ประเทศจีน โครงการขนาดใหญ่ซึ่งประกอบไปด้วยศูนย์การค้า โรงแรม อาคารสำนักงาน และที่พักอาศัย รวมถึงเป็นผู้ริเริ่มแพลตฟอร์มการรับรองการผลิตพลังงานหมุนเวียนข้ามพรมแดนโดยใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ซึ่งจะช่วยให้ลูกค้าสามารถตรวจสอบการใช้พลังงานไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียน การร่วมมือกับบ้านปู เน็กซ์ ซึ่งมีพอร์ตโฟลิโอธุรกิจพลังงานยั่งยืนที่หลากหลาย และโปรเจกต์พลังงานหมุนเวียน ระบบกักเก็บและบริหารจัดการพลังงาน โซลูชันพลังงานฉลาด รวมถึงสมาร์ทซิตี้ และสมาร์ทแคมปัส จะช่วยปูทางให้ทั้งสองบริษัทสามารถบรรลุเป้าหมายด้านพลังงานสะอาด รวมถึงเสริมศักยภาพทางธุรกิจได้ในหลากหลายมิติ ไม่ว่าจะเป็น การเสริมระบบนิเวศทางธุรกิจ สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน ขยายเครือข่ายทางธุรกิจ และขยายพอร์ตโฟลิโอในระดับภูมิภาคให้ครอบคลุมยิ่งขึ้น
*ข้อมูลอ้างอิง Renewable Energy Market by Type (Hydroelectric Power, Wind Power, Bioenergy, Solar Energy, and Geothermal Energy) and End Use (Residential, Commercial, Industrial, and Others): Global Opportunity Analysis and Industry Forecast, 2021-2030, Allied Market Research
ที่มา: เวิรฟ