นายอมิต ปรากาซ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพลีเพล็กซ์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ PTL เปิดเผยว่า "การเริ่มดำเนินสายการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPP ในอินโดนีเซีย ช่วยเสริมความเข้มแข็งทางยุทธศาสตร์ให้บริษัทฯ ในการเป็นผู้ให้บริการด้านบรรจุภัณฑ์อย่างครบวงจร และเป็นผู้ประกอบการด้านบรรจุภัณฑ์แบบอ่อนที่ลูกค้าจะเรียกใช้บริการเป็นลำดับแรก โดยอินโดนีเซียเป็นตลาดที่ใหญ่มากสำหรับแผ่นฟิล์ม BOPP ซึ่งทางบริษัทฯ เชื่อมั่นว่าจะสามารถผนึกกำลังกับฐานลูกค้าของเราให้เป็นความได้เปรียบในการสร้างความเติบโตของธุรกิจแผ่นฟิล์ม BOPP ของเรา โดยที่ผ่านมาสายการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPET ขนาด 10.6 เมตร ที่ใช้เทคโนโลยีล้ำสมัยได้เดินเครื่องจักรไปแล้วในอินโดนีเซียเมื่อปี 2019 ที่ผ่านมา ทำให้เราสามารถแข่งขันด้วยต้นทุนต่ำที่สุดในโลก และสำหรับสายการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPP ในขนาด 10.6 เมตรก็เช่นเดียวกัน ที่กำลังจะช่วยให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ในอินโดนีเซียสามารถแข่งขันด้านต้นทุนได้ดียิ่งขึ้นด้วยขนาดของสายการผลิตที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งจะช่วยหนุนการจัดวางตำแหน่งด้านการตลาดของบริษัทในอุตสาหกรรมได้ดียิ่งขึ้นอีกด้วย"
การจัดวางตำแหน่งของ PTL ในตลาดที่สำคัญทุกตลาด ประกอบกับการให้ความสำคัญกับการเพิ่มศักยภาพในกลุ่มสินค้าพิเศษ โดยไม่สูญเสียความมุ่งมั่นในการขยายประสิทธิภาพการผลิตแผ่นฟิล์มมาตรฐาน ก็ช่วยให้บริษัทฯ สามารถรักษาส่วนแบ่งตลาดและความเป็นผู้นำในอุตสาหกรรมได้
คุณอมิต ปรากาซ กล่าวต่ออีกว่า "ความท้าทายจากการระบาดของโรคโควิด และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทานที่ทั่วโลกประสบที่ผ่านมา ทำให้เราเห็นแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่หันมาสนใจจับจ่ายซื้อสินค้าท้องถิ่นและจากแหล่งที่ใกล้ตัวมากขึ้น เมื่อเทียบกับการพึ่งพาสินค้านำเข้าราคาถูกในช่วงก่อนโควิด ผู้เล่นอย่าง 'โพลีเพล็กซ์' ซึ่งมีฐานการผลิตที่แข็งแรงครอบคลุมพื้นที่ในทุกภูมิภาคที่สำคัญ จะได้รับอานิสงส์จากโอกาสเช่นนี้ และก็ย่อมสามารถครองส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น"
ขณะเดียวกัน การลงทุนของ PTL ในสหรัฐอเมริกา เพื่อขยายกำลังการผลิตแผ่นฟิล์ม BOPET และเรซิน
มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งคาดว่าจะเริ่มดำเนินการผลิตได้ในครื่งหลังของปี 2022-23 โดย PTL ยังคงมองหาโอกาสสร้างการเติบโตในทำเลปัจจุบันพร้อมกับประเมินทำเลใหม่ๆ โดยหวังว่าจะสามารถรักษาแรงขับเคลื่อนการเติบโตในปีต่อๆ ไป
ที่มา: เอ็ม ที มัลติมีเดีย