นางสาวธิดา เชิดสุริยา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ออเนอร์ เอสเตท จำกัด เปิดเผยถึงความคืบหน้าของโครงการ Mixed-use ภายใต้ชื่อ "ออเนอร์ เพลส พัทยา" ว่า ปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างพัฒนาโครงการแรกชื่อว่า ONCE Pattaya บนที่ดิน 2 ไร่ เป็นคอนโดมิเนียมแบบไฮไรส์สูง 32 ชั้นจำนวน 427 ยูนิต มีขนาดห้องชุดให้เลือกตั้งแต่ห้องสตูดิโอขนาด 28 ตารางเมตร, 1 ห้องนอนขนาด 34-34.80 ตารางเมตร และ 2 ห้องนอนขนาด 51.80-59.80 ตารางเมตร ตกแต่งแบบ Fully Furnished ราคาขายเฉลี่ย 120,000-130,000 บาทต่อตารางเมตร โดยทำยอดขายได้แล้วกว่า 50% ส่วนงานก่อสร้างคืบหน้าถึงชั้นที่ 22 แล้ว คาดว่าจะก่อสร้างแล้วเสร็จช่วงปลายปี 2565 และจะโอนห้องชุดให้กับลูกค้าได้ประมาณต้นปี 2566
ส่วนความคืบหน้าของโรงแรมฮิลตัน การ์เด้น ฮิลล์ ขณะนี้ได้ผ่านการรายงานผลกระทบสิ่งแวดล้อมเรียบร้อยแล้ว เบื้องต้นจะเริ่มลงมือก่อสร้างในช่วงต้นปี 2565 ประกอบด้วยอาคารสูง 29 ชั้น จำนวน 300 ห้องพร้อมพื้นที่ชั้นล่างที่ออกแบบเป็นร้านค้าปลีก 6 ร้าน พื้นที่ใช้สอยรวมประมาณ 2,000 ตารางเมตร
ล่าสุดทางโครงการได้จัดโปรโมชั่นราคาขายห้องชุดพิเศษเริ่มต้น 2.98 ล้านบาทสำหรับห้องสตูดิโอ และ 3.49 ล้านบาทสำหรับ 1 ห้องนอน รวมทั้งยังมีการการันตีผลตอบแทนการลงทุน 6% เป็นเวลา 3 ปีให้กับลูกค้าที่ต้องการซื้อเพื่อลงทุน และเปิดรับการจองซื้อห้องชุดผ่านสินทรัพย์ดิจิทัลหรือ Cryptocurrency 3 สกุลเงิน คือ BTC ETH และ USDT สอบถามเพิ่มเติมโทร 061-653-6599 หรือ 038-413-160 ต่อ 111
นอกจากนี้ยังได้จัดแคมเปญ "20 Years Visa Complimentary" เพิ่มทางเลือกให้กับกลุ่มลูกค้าชาวต่างชาติที่สนใจซื้อที่อยู่อาศัยในเมืองไทย และสมัครบัตรสมาชิก "ไทยแลนด์ อีลิท" ของบริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด (ทีพีซี) รับสิทธิพิเศษของ Previlage Elite Visa สามารถอยู่อาศัยระยะยาวแบบ Long Stay Visa ในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปี ซี่งเชื่อมั่นว่าหลังจากที่รัฐบาลได้ประกาศเปิดประเทศให้ต่างชาติสามารถเดินทางเข้ามาท่องเที่ยวและนักลงทุนในเมืองไทยได้แล้ว จะมีชาวต่างชาติสนใจเข้ามาซื้อห้องชุดในเมืองไทยเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในย่านหัวเมืองท่องเที่ยวต่างๆของไทย
โดยลูกค้าต่างชาติที่มีความประสงค์จะซื้อห้องชุดของ ONCE Pattaya สามารถวางเงินจอง 1 แสน หลังจากนั้นบริษัทจะส่งเอกสารของลูกค้าไปตรวจคุณสมบัติก่อนที่ไทยแลนด์ อีลิท ซึ่งจะใช้เวลาดำเนินการประมาณ 1- 3 เดือน ทั้งนี้ลูกค้าชาวต่างชาติจะต้องไม่มีประวัติเป็นบุคคลต้องห้ามในการเดินทางเข้าประเทศไทย รวมถึงไม่เคยมีประวัติอาชญากรมาก่อน
หลังจากได้รับการรับรองคุณสมบัติแล้ว ลูกค้าจะต้องเซ็นสัญญาพร้อมจ่ายเงินเพิ่มอีก 40% โดยผ่อนจ่ายได้ 4 ครั้ง เมื่อจ่ายเงินครบแล้วบริษัทจะส่งเรื่องไปที่ไทยแลนด์ อีลิทอีกรอบ เพื่อแจ้งว่าลูกค้าได้ทำสัญญาซื้อขายห้องชุดกับบริษัทแล้ว และดำเนินการขั้นตอนการติดวีซ่าให้กับลูกค้า ซึ่งจะใช้ระยะเวลาดำเนินการประมาณ 1 เดือน โดยลูกค้าจะต้องนำพาสปอร์ตของตัวเองไปขอติดวีซ่าประเทศไทยที่สถานฑูตไทยในประเทศของตัวเอง
นายพรเทพ พันธะนะแพทย์ รองผู้จัดการใหญ่สายงานการพาณิชย์และปฏิบัติการ บริษัทไทยแลนด์ พริวิเลจ คาร์ด จำกัด กล่าวว่า นอกเหนือจากสิทธิพิเศษในการอยู่อาศัยในเมืองไทยได้นานถึง 20 ปีแล้ว ลูกค้าชาวต่างชาติยังสามารถเดินทางเข้า-ออกประเทศไทยได้ไม่จำกัดจำนวนครั้ง พร้อมรับสิทธิพิเศษในการบริการด้านเอกสารทางราชการไทย ความสะดวกในขั้นตอนการแสดงหนังสือเดินทางและการตรวจคนเข้าเมือง การต้อนรับระดับวีไอพีจากเจ้าหน้าที่ของไทยแลนด์ อีลิทที่สนามบิน รวมทั้งบริการพิเศษจาก Privilege Members ทั้งส่วนลดต่างๆสำหรับการใช้บริการหรือซื้อสินค้าจากบริษัทคู่ค้ากับไทยแลนด์ อีลิท อาทิ รถลีมูซีน สปา สนามกอล์ฟ ห้างสรรพสินค้า และธนาคาร
โดยเฉพาะความสะดวกสบายในการต่ออายุพาสปอร์ต หากชาวต่างชาติอาศัยอยู่ในเมืองไทยครบ 1 ปีไม่ต้องเดินทางออกนอกประเทศไทยเพื่อไปต่ออายุพาสปอร์ต เพียงแค่แจ้งความจำนงมาที่ศูนย์บริการสมาชิก (MCC) ของไทยแลนด์ อีลิท เพื่อให้ติดวีซ่าต่อให้อีก 1 ปี แต่ชาวต่างชาติต้องรายงานตัวภายใน 90 วันตามกฎหมายของการเข้าเมือง โดยสามารถส่งตัวแทนหรือเอเจนด์ไปดำเนินการแทนได้ และต้องมีเอกสาร PM 30 ในกรณีที่เป็นเจ้าของห้องชุดหรือสัญญาเช่าไปแสดงด้วย
"อายุของวีซ่าจะต้องต่ออายุทุกๆ 5 ปีรวมทั้งหมด 4 ครั้ง โดยปกติเมื่อใกล้ครบ 5 ปีหรือประมาณ 6 เดือนก่อนหมดอายุ ทางเจ้าหน้าที่ของไทยแลนด์ อีลิทจะติดต่อไปยังลูกค้าเพื่อนำพาสปอร์ตไปติดวีซ่าที่ตม.แจ้งวัฒนะ หรือกรณีที่ลูกค้าเดินทางออกนอกประเทศขากลับเข้าเมืองไทยก็สามารถติดวีซ่าที่ตม.สนามบินสุวรรณภูมิได้"
ด้านนายคริส เชิดสุริยา หัวหน้าฝ่ายควบคุมอาคาร สำนักการช่างเมืองพัทยา ในฐานะที่ปรึกษาโครงการ ONCE Pattaya กล่าวเสริมถึงศักยภาพของเมืองพัทยาว่า ในอนาคตเมืองพัทยาจะไม่ใช่แค่เมืองท่องเที่ยวอีกต่อไป แต่จะกลายเป็นศูนย์กลางการลงทุนด้านอุตสาหกรรม สินค้า และการเงิน หลังจากพื้นที่เมืองพัทยาได้ถูกกำหนดให้อยู่ในโซนผังสีแดงหรือพื้นที่พาณิชยกรรม ตามแผนพัฒนาโครงการ EEC (Eastern Economic Coridor) หรือโครงการเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ซึ่งเป็นเมกะโปรเจ็กต์ใหญ่ของรัฐบาลที่มาต่อยอดโครงการอีสเทิร์นซีบอร์ด โดยจะมีการลงทุนระบบโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ทั้งทางอากาศ ทางราง ทางน้ำ และทางบก อาทิ โครงการรถไฟความเร็วสูงเชื่อม 3 สนามบิน (อู่ตะเภา-สุวรรณภูมิ-ดอนเมือง) ระยะทาง 220 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันได้มีการส่งมอบพื้นที่ไปแล้วกว่า 90%สำหรับใช้ก่อสร้างงานโยธา
ล่าสุดได้มีการลงนามร่วมก่อสร้างโครงการพัฒนาท่าเรือแหลมฉบัง ระยะที่ 3 ในส่วนของท่าเทียบเรือ F จังหวัดชลบุรีเรียบร้อยแล้ว หากก่อสร้างแล้วเสร็จจะทำให้ท่าเรือแหลมฉบังขยับขึ้นมาเป็นท่าเรือที่มีชื่อเสียงอันดับ 10 ของโลกจากปัจจุบันที่อยู่ในอันดับ 20 และในอนาคตเมืองพัทยามีแผนจะก่อสร้างรถไฟรางเบา เพื่อให้บริการรับส่งผู้โดยสารที่เดินทางด้วยรถไฟความเร็วสูงให้เข้าสู่พื้นที่ของเมืองพัทยา โดยมีเส้นทางผ่านพัทยาเหนือ และเข้าสู่ถนนพัทยาสาย 2 ขณะเดียวกันในตัวเมืองพัทยาก็ได้มีแผนนำสายไฟฟ้าลงใต้ดินถึง 10 เส้นทาง ล่าสุดได้ดำเนินการเสร็จสิ้นไปแล้ว 1 เส้นทางคือ ถนนพัทยาเหนือ เพื่อเพิ่มทัศนียภาพและการอยู่อาศัยที่ดีให้กับเมืองพัทยา
ที่มา: ออเนอร์ เอสเตท